พระอภัยมณี ผู้แต่ง สุนทรภู่
เนื้อเรื่องตอนที่ 1 การผจญภัยของพระอภัยมณี
พระอภัยมณีและศรีสุวรรณเป็นโอรสของท้าวสุทัศน์และปทุมเกสร กษัตริย์ผู้ครองเมืองรัตนา เจ้าชายทั้งสองได้ออกเดินทางจากบ้านเมืองเพื่อเรียนไสยศาสตร์ และเสาะหาของวิเศษจากทิศาปาโมกข์ตามคำสั่งของบิดา แต่พระอภัยมณีกลับเลือกเรียนวิชาดนตรีคือการเป่าปี่ได้เป็นเอก มีอานุภาพโน้มน้าวจิตในคนหรือประหารผู้ฟังได้ตามใจปรารถนา ส่วนศรีสุวรรณเรียนวิชากระบี่กระบองจนเป็นเลิศ เมื่อกลับมาถึงบ้านเมือง ท้าวสุทัศน์โกรธมากที่โอรสไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและโดยที่ไม่ได้พิจารณาคุณค่าของสิ่งที่โอรสเรียนมาพระองค์ได้ตรัสในทำนองว่าน่าจะไล่ออกจากเมือง พระอภัยมณีและศรีสุวรรณน้อยใจจึงชวนกันออกจากเมืองไป
ทั้งสองพระองค์เดินทางด้นดั้นมาจนถึงริมฝั่งทะเล ได้พบพราหมณ์หนุ่มน้อยสามคน มีโมรา ผู้ชำนาญในการผูกหญ้าเป็นสำเภายนต์ท่องทะเล วิเชียร ผู้สามารถยิงธนูได้คราวละ 7 ลูก และสานน ผู้สามารถเรียกลมฝนได้ตามใจปรารถนา เมื่อพราหมณ์ทราบปัญหาของกษัตริย์ทั้งสองแล้ว เกิดสงสัยในวิชาเป่าปี่ของของพระอภัยมณีว่ามีคุณค่าอย่างไร พระอภัยมณีเป่าปี่ให้ฟัง พราหมณ์ทั้งสามรวมทั้งศรีสุวรรณได้ฟังก็เคลิ้มหลับใหลไป ระหว่างนั้น นางผีเสื้อสมุทร ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ทะเลได้ผ่านมาเห็น พระอภัยมณีนั่งเป่าปี่อยู่ ก็นึกรัก จึงอุ้มพาไปไว้ในถ้ำ แปลงตนเป็นหญิงสาวคอยปรนนิบัติ พระอภัยมณีดูดวงตาก็รู้ว่ามิใช่มนุษย์แต่ก็จำทนต้องอยู่กินกับนางผีเสื้อสมุทร จนมีลูกชื่อว่าสินสมุทร
ฝ่ายศรีสุวรรณและพราหมณ์ทั้งสามคน เมื่อตื่นขึ้นมาไม่เห็นพระอภัยมณีก็ออกติดตามจนพลัดหลงไปยังเมืองรมจักร ศรีสุวรรณปลอมตัวเป็นพราหมณ์เข้าเมือง จนได้พบนางเกษราธิดาของท้าวทศวงศ์เจ้าเมือง เกิดความรักต่อกัน ขณะนั้นเมืองรมจักรกำลังประสบปัญหาคือ ท้าวอุเทนกษัตริย์เมืองชวามาสู่ขอนางเกษรา ท้าวทศวงศ์ไม่ยอมยกให้ เพราะเห็นว่าเป็นกษัตริย์ต่างชาติ ต่างศาสนา ท้าวอุเทนยกกองทัพมาตีเมืองรมจักร ศรีสุวรรณและพราหมณ์ทั้งสามอาสาสู้ศึกจนได้ชัยชนะ ศรีสุวรรณได้อภิเษกกับนาง เกษรา ได้ครองเมืองรมจักรและต่อมามีธิดานามว่า อรุณรัศมี
ด้านพระอภัยมณี ได้โอกาสหนีนางผีเสื้อสมุทร โดยอาศัยลูกคือสินสมุทร ทั้งนี้เพราะสินสมุทรเมื่ออายุได้ 8 ปี เป็นคนมีพละกำลัง มีอำนาจ มีความสามารถเหมือนแม่ ได้เปิดหินปากถ้ำออกไปเที่ยวเล่น พบเงือกก็จับมาให้พระอภัยมณีดู พระอภัยมณีจึงวางแผนหนีร่วมกับนางเงือกซึ่งอาสาจะช่วยเหลือ หลังจากออกอุบายให้นางผีเสื้อสมุทรไปจำศีลสะเดาะเคราะห์แล้ว พระอภัยมณีและสินสมุทรก็หนีนางผีเสื้อสมุทรมุ่งตรงไปยังเกาะแก้วพิสดารซึ่งมีพระโยคีผู้วิเศษพำนักอยู่ โดยพระอภัยมณีอาศัยผลัดขี่หลังเงือกพ่อ แม่ และลูกสาว ว่ายน้ำได้กันได้ห้าคืน นางผีเสื้อสมุทรกับมาถึงถ้ำรู้เรื่องก็ตามมาทัน จับเงือกพ่อ เงือกแม่กินเสีย พระอภัยมณีขี่หลังเงือกลูกสาวต่อไป โดยมีสินสมุทรต่อสู้กับผีเสื้อสมุทรถ่วงเวลาไว้ ในที่สุดพระอภัยมณี นางเงือก และสินสมุทรสามารถขึ้นเกาะแก้วพิสดารได้ นางผีเสื้อสมุทรไม่สามารถติดตามต่อไปได้ เพราะอำนาจมนต์ของพระโยคีแห่งเกาะแก้วพิสดาร และขณะที่พักอาศัยอยู่กับพระโยคี พระอภัยมณีก็ได้นางเงือกเป็นเมีย ต่อมาพระอภัยมณีและสินสมุนทรได้บวชเป็นฤาษี ได้สนิทสนมกับคนเรือแตกหลายชาติหลายภาษา ซึ่งอาศัยใบบุญของพระโยคีด้วยกัน
เนื้อเรื่องตอนที่ 2 การเดินทางของนางสุวรรณมาลี
กล่าวถึงเมืองผลึก มีท้าวสิลราชเป็นกษัตริย์ปกครอง มีธิดาชื่อว่านางสุวรรณมาลี ซึ่งได้หมั้นหมายไว้กับอุศเรน โอรสของกษัตริย์ฝรั่งเมืองลังกา วันหนึ่งนางสุวรรณมาลีฝันว่า ต้องระเหเร่ร่อนอยู่กลางทะเล พลัดพรากจากบ้านเมือง โหรจึงแนะนำให้สะเดาะเคราะห์โดยการออกท่องเที่ยวทะเล ระหว่างการเดินทาง เรือโดนพายุหลงทิศทาง ไปจนถึงเกาะแก้วพิสดาร ท้าวสิลราชและนางสุวรรณมาลีได้ขึ้นเฝ้าพระโยคี และได้พบกับพระอภัยมณี
เมื่อซ่อมแซมเรือและได้เสบียงอาหารแล้ว ท้าวสิลราชก็พระโยคีกลับเมือง พระอภัยมณี สินสมุทร และพวกเรือแตกทั้งหลายก็อาศัยเดินทางไปด้วย ระหว่างการเดินทาง ถึงแม้จะรู้ว่านางสุวรรณมาลีมีคู่หมั้นอยู่แล้ว พระอภัยมณีก็ยังเกี้ยวนาง โดยอาศัยสินสมุทรเป็นสื่อรัก สินสมุทรกับนางสุวรรณมาลีสนิทสนมกันมาก สินสมุทรเรียกนางว่าแม่ เมื่อนางผีเสื้อสมุทรซึ่งวนเวียนคอยพระอภัยมณีอยู่ทำให้เรือแตก สินสมุทรก็อุ้มนางสุวรรณมาลีว่ายน้ำไป จนกระทั่งถึงเกาะและปลอดภัย ท้าวสิลราชสูญหายไปพร้อมไพร่พล ส่วน พระอภัยมณีกับพรรคพวกจากเกาะแก้วพิสดารว่ายน้ำไปขึ้นบนเกาะเล็ก ๆ ต่อมาใช้การเป่าปี่เป็นอาวุธฆ่านางผีเสื้อสมุทร หลังจากนั้นได้พบกับอุศเรนคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลีที่ออกเรือเดินทางติดตามหานางมา เมื่อทราบเรื่องกัน พระอภัยมณีก็ได้อาศัยเรือของอุศเรนติดตามหาสินสมุทรและนางสุวรรณมาลีด้วยกัน
สินสมุทรและนางสุวรรณมาลี ออกจากเกาะร้างโดยอาศัยเรือของโจรสุหรั่งที่แวะเกาะร้างเพื่อหาน้ำจืด
เรือของโจรสุหรั่งเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร มีตึกรามบ้านช่อง สวนผลไม้ และสัตว์เลี้ยงอยู่บนเรือครบถ้วน พร้อมพรั่งด้วยเรือกำปั่นอีกห้าร้อยมีอาวุธครบ เที่ยวปล้นเรือและบ้านเมืองต่าง ๆ ต่อมาสินสมุทรฆ่าหัวหน้าโจรตาย เพราะโกรธหัวหน้าโจรที่ทำลวนลามต่อนางสุวรรณมาลี ไพร่พลของโจรสุหรั่งเกรงกลัวฤทธิ์เดชของสินสมุทร จึงยอมอยู่ใต้อำนาจ สินสมุทรคุมเรือโจรสุหรั่งจนกระทั่งถึงเมืองรมจักร เกิดรบพุ่งกับ ศรีสุวรรณ สินสมุทรจับศรีสุวรรณได้ ตอนนั้นศรีสุวรรณมองเห็นสินสมุทรสวมแหวนของพระอภัยมณี จึงได้ถามขึ้น ก็ทราบว่าเป็นอาเป็นหลานกัน ศรีสุวรรณเข้าใจว่านางสุวรรณมาลีเป็นแม่แท้ ๆ ของสินสมุทร เพราะสินสมุทรบอกเช่นนั้น นางสุวรรณมาลีก็ไม่ปฏิเสธ ต่อมาศรีสุวรรณ สินสมุทร นางสุวรรณมาลี และ อรุณรัศมี ได้พากันออกติดตามหาพระอภัยมณี เมื่อฝ่ายที่ตามหากันได้พบกัน ความยุ่งยากก็เกิดขึ้น เพราะสินสมุทรไม่ยอมคืนนางสุวรรณมาลี และนางสุวรรณมาลีก็เลือกที่จะอยู่กับสินสมุทร ซึ่งหมายความว่านางเลือกอยู่กับพระอภัยมณีแทนที่จะเลือกอุศเรน ทั้งสองฝ่ายจึงทำสงครามกัน อุศเรนถูกสินสมุทรจับได้ แต่พระอภัยมณีขอชีวิตไว้เพื่อตอบแทน บุญคุณ อุศเรนกลับเมืองลังกาด้วยความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท
ส่วนฝ่ายพระอภัยมณีเดินทางสู่เมืองผลึก มเหสีท้าวสิลราชเห็นนางสุวรรณมาลีกลับมาก็ดีใจมาก เมื่อนางทราบว่าพระอภัยมณีเป็นโอรสกษัตริย์และมีรูปงาม นางจึงยกเมืองผลึกให้พระอภัยมณีครอบครองหวังจะได้อภัยมณีเป็นเขย แต่นางสุวรรณมาลีไม่ยอมอภิเษกกับพระอภัยมณีเพราะนางเห็นว่า พระอภัยมณีใจโลเล ขี้ขลาด ไม่กล้าตัดสินใจเมื่อเกิดปัญหากับอุศเรน ทำให้นางต้องอับอายขายหน้า นางจึงออกบวชเป็นชี พระอภัยมณีพยายามอย่างไรก็ไม่ประสบผลจนกระทั่งได้นางวาลี หญิงเจ้าปัญญาแต่รูปชั่วมาช่วยวางแผน จึงได้อภิเษกกับนาง เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พระอภัยมณีจึงได้ศรีสุวรรณและสินสมุทร เดินทางกลับไปเยี่ยมท้าวสุทัศน์ที่เมืองรัตนา
เนื้อเรื่องตอนที่ 3 กำเนิดสุดสาคร และศึกระหว่างเมืองผลึกกับเมืองลังกา
นางเงือก ซึ่งอาศัยอยู่ที่อ่าวหน้าเกาะแก้วพิสดารได้คลอดลูกชาย พระโยคีนำไปเลี้ยงไว้ให้ชื่อว่า สุดสาคร สุดสาครเป็นเด็กที่มีความสามารถโดยกำเนิดอยู่แล้ว เมื่อได้เรียนวิชาอาคมจากพระโยคีก็ยิ่งเก่งกล้ามากขึ้น เมื่ออายุได้สามขวบก็ลาพระโยคีและแม่ ออกตามมหาบิดา โดยมีม้านิลมังกร ม้าวิเศษลูกผสมระหว่างม้ากับมังกร ซึ่งจับได้กลางทะเลเป็นพาหนะคู่ใจ และมีไม้เท้าของพระโยคีเป็นอาวุธคู่มือ ระหว่างการเดินทางได้ผจญภัยต่าง ๆ กันเช่น รบกันพวกผีดิบ ถูกชีเปลือยเฒ่าเจ้าเล่ห์ผลักตกเหว แต่ทุกครั้งพระโยคีก็มาช่วย และสอนให้รู้ถึงการดำรงชีวิตในโลกด้วย
ต่อมาสุดสาครได้เข้าไปถึงเมืองการะเวก กษัตริย์เมือง การะเวกเห็นเข้าก็นึกรัก จึงเลี้ยงไว้เป็นโอรสบุญธรรมคู่กับธิดาของพระองค์
ชื่อเสาวคนธ์ ต่อมาพระองค์มีโอรสอีกองค์หนึ่งคือหัสไชย สุดสาครอยู่ในเมืองการะเวกถึง 10 ปี ก็ทูลลาเจ้าเมืองการะเวกติดตามพระบิดา นางเสาวคนธ์และหัสไชยได้ขอติดตามไปด้วย
สงครามระหว่างเมืองผลึกกับเมืองลังกาเกิดขึ้นจากความโกรธของอุศเรน ผลการรบปรากฏว่าเมืองผลึกชนะด้วยอุบายอันชาญฉลาดของนางวาลี อุศเรนถูกจับได้ พระอภัยมณีกำลังจะปล่อยกลับเมือง แต่นางวาลีใช้อุบายยั่วจนอุศเรนอกแตกตาย ปีศาจอุศเรนกลับมาฆ่านางวาลีในภายหลังด้วย เจ้าลังกาเศร้าโศกถึงอุศเรนจนตรอมใจตาย นางละเวงวัลลาธิดาได้ครองเมืองต่อมาแล้วทำสงครามแก้แค้นพระอภัยมณีต่อไป กลายเป็นศึกยืดเยื้อ มีการใช้อุบายให้กษัตริย์เมืองต่าง ๆ มาช่วยนางรบ ใครชนะจะได้นางและครองเมืองลังกา ศึกที่สำคัญ ๆ เช่น ศึกเจ้าละมานตีเมืองผลึก ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก ศึกพระอภัยมณีตีเมืองลังกา เป็นต้น สงครามครั้งนี้มีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
1. การทำสงครามของทั้งสองฝ่าย สุนทรภู่ได้บรรยายถึงฉากการรบในทะเลเป็นส่วนใหญ่ อาวุธที่ใช้ในการรบมีทั้งอาวุธธรรมดา เช่นปืน ดาบ และอาวุธทางไสยศาสตร์ คาถาอาคมการสะกดทัพ แต่สิ่งที่ชี้ขาดชัยชนะ สุนทรภู่เน้นที่สติปัญญาของตัวละคร
2. ตัวละครสำคัญในฐานะแม่ทัพของฝ่ายเมืองผลึกมี พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทร นางสุวรรณมาลี สุดสาคร พราหณ์โมรา สานนและวิเชียร พร้อมด้วยนางเสาวคนธ์และหัสไชย ซึ่งเดินทางมาพบบิดาที่เมืองผลึกในช่วงที่พระอภัยมณี
กำลังหลงรูปนางละเวงที่ถูกปีศาจเจ้าละมานสิง ตัวละครสำคัญฝ่ายเมืองลังกามี นางละเวง นางรำภาสะหรีลูกอิเรนแม่ทัพ นางยุพาผกา
นางสุลาลีวัน ซึ่งเป็นธิดาบุญธรรมของนางละเวง โดยมีที่ปรึกษาคือ พระสังฆราชและบาทหลวงปีโป มีทหารเอกครึ่งคนครึ่งผีดิบ
คือ ย่องตอด
3. การทำสงครามอันยาวนานนี้ จุดเริ่มมาจากความโกรธแค้นพยาบาท แต่ต่อมาในตอนหลัง ๆ ตัวละครทั้งสองฝ่ายอ้างว่า
ตนต้องทำสงครามเพื่อรักษาชาติและศาสนา ฝ่ายเมืองผลึกก็กลัวสูญชาติศาสนา ถ้าแพ้ฝรั่งลังกา ฝ่ายลังกาก็กลัวสิ้นชาติศาสนา
ถ้าแพ้ฝ่ายเมืองผลึก
4. ขณะที่ตัวละครอื่น ๆ ฝ่ายเมืองผลึก มุ่งชัยชนะทางการทหาร แต่พระอภัยมณีกลับทำสงครามโดยอาศัยการเขียนเพลงยาวถึงนางละเวง พระอภัยมณีให้เหตุผลว่า ถ้าได้นางก็จะได้เมืองด้วย โดยไม่ต้องเสียทหารในการรบ ดังคำกลอน "วิสัยพี่ชำนาญแต่การปาก มิให้ยากพลไพร่ใช้หนังสือ" ซึ่งสุดท้ายก็ทำสำเร็จสมประสงค์
5. ตัวละครเอกผู้ชายฝ่ายเมืองผลึก คือพระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทร สุดสาคร ถูกฝ่ายนางละเวงทำเสน่ห์ จนหนีกองทัพเข้าไปอยู่กินกับผู้หญิงฝ่ายเมืองลังกา ศรีสุวรรณกับนางรำภาสะหรี สินสมุทรกับนางยุพาผกา สุดสาครกับนางสุลาลีวัน ทิ้งให้กองทัพฝ่ายเมืองผลึกอยู่ในความควบคุมของ นางสุวรรณมาลี นางเสาวคนธ์และหัสไชย เหตุการณ์ตอนนี้เป็นทั้งสงครามรักและสงครามรบ
6. สงครามทั้งสองฝ่ายพัวพันกันจนยุ่งเหยิง บุคคลสำคัญที่มาหย่าทัพให้กษัตริย์ทั้งหมดสามัคคีกันคือ พระโยคีแห่งเกาะแก้วพิสดาร
เสร็จศึกลังกาแล้ว พระอภัยมณีได้จัดการอภิเษกสินสมุทรกับนางอรุณรัศมี และสู่ขอนางเสาวคนธ์ให้กับสุดสาคร แต่นางเสาวคนธ์ไม่ยอมอภิเษกด้วย เพราะนางโกรธที่สุดสาครมีเมียฝรั่ง คือนางสุลาลีวัน นางจึงปลอมตัวเป็นฤาษี
ชื่อพระอัคนีแล่นเรือไปยังเมืองวาหุโลม ทำสงครามชนะเจ้าวาหุโลมและได้ครองเมือง ฝ่ายสุดสาครติดตามมาจนถึงเกาะค้างคาว ได้เรียนอุปเท่ห์สตรีจากเฒ่าที่เกาะ พอเข้าเมืองวาหุโลมก็ได้นางเสาวคนธ์ตามที่ปรารถนา
เนื้อเรื่องตอนที่ 4 ปิดเรื่อง
การศึกครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างพ่อแม่กับลูก ฝ่ายเมืองลังกามีผู้นำคือ มังคลา ซึ่งเป็นโอรส พระอภัยมณีกับนางละเวง วลายุดา วายุพัฒ หัสกัน โอรสของศรีสุวรรณ สินสมุทร สุดสาคร ตามลำดับ ฝ่ายเมืองผลึกประกอบด้วยเมืองผลึก เมืองรมจักร เมืองการะเวก รวมทั้งนางละเวง นางรำภาสะหรี นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันก็เข้าร่วมกับฝ่ายเมืองผลึกด้วย เพราะโกรธแค้นโอรสของตัวเองที่รบกับบิดาและ
วงศาคณาญาติ ต้นเหตุของสงครามก็คือ เมื่อมังคลาขึ้นครองเมืองแทนนางละเวง พระสังฆราชยุให้มังคลาไปแย่งโคตรเพชรของเมืองลังกา ซึ่งนางเสาวคนธ์ขอนางการะเวกไปกลับคืนมา แต่นี่เป็นเพียงแต่ข้ออ้างเท่านั้น เพราะมังคลาส่งกองทัพไปโจมตีทั้งเมืองการะเวก เมืองผลึกและเมืองรมจักรในเวลาเดียวกัน พอดีช่วงเวลานั้น พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทร ไปทำศพท้าวสุทัศน์ที่เมืองรัตนา ส่วนสุดสาครและนางเสาวคนธ์ยังไม่ได้กลับเข้าเมืองการะเวก ฝ่ายมังคลาจึงจับนางสุวรรณมาลีและธิดาคือสร้อยสุวรรณ จันทร์สุดา รวมทั้งท้าวทศวงศ์และนางเกษราไปขังไว้ที่เมืองลังกา เมื่อทราบข่าวร้ายพระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทรก็รีบยกทัพไปเมืองลังกาสมทบกับสุดสาคร และนางเสาวคนธ์ ฝ่ายนางละเวงเข้าร่วมกับฝ่าย พระอภัยมณีทำสงครามกับโอรสของตน สุดท้ายฝ่ายลูกก็สู้พ่อแม่ไม่ได้ เลยหลบหนีไป
เมื่อเหตุการณ์สงบเรียบร้อยแล้ว ศรีสุวรรณก็กลับไปครองรมจักร หัสไชยได้อภิเษกกับสร้อยสุวรรณจันทร์สุดาและกลับไปครองเมืองการะเวก สินสมุทรครองเมืองผลึก สุดสาครครองเมืองลังกา ส่วนพระอภัยมณีโกรธนางสุวรรณมาลีีและนางละเวงในการที่ไม่ปรองดองกัน จึงออกบวชเป็นฤาษี นางสุวรรณมาลีและนางละเวงจึงออกบวชเป็นชี มาคอยรับใช้พระอภัยมณีที่เขาสิงคุตร
ที่มา เรื่องย่อพระอภัยมณีhttp://rungfa.chs.ac.th/apaistory.htm
credit : http://www.boysapolclub.com/Forums/index.php?topic=2607.75
วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560
เรื่องย่อวรรณคดี อิลราช
เนื้อเรื่องย่อ อิลราช จากชายกลายหญิง
ในนครพลหิกา มีกษัตริย์ครองนคร ทรงพระนามว่า ท้าวอิลราช เป็นกษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม วันหนึ่งในวสันตฤดู ทรงออกป่าล่าสัตว์พร้อมบริวาร จนถึงตำบลที่กำเนิดของพระขันทกุมาร
ในเวลานั้น พระอิศวรกำลังล้อเล่นกับพระอุมา ชายา ทรงจำแลงกายเป็นสตรี และบันดาลให้ทุกสิ่งในนั้นเป็นสตรีทั้งหมด ครั้นเมื่อท้าวอิลราชและข้าราชบริพารผ่านเข้าไปในป่าดังกล่าว ก็กลายเป็นสตรีไปทั้งหมด
ครั้นเมื่อท้าวอิลราชกลายเป็นสตรี ก็ตกใจ ทูลขออภัยจากพระอิศวร พระอิศวรไม่ทรงยอม แต่พระอุมาเทวีประทานพรให้กึ่งหนึ่ง คือเป็นบุรุษและสตรีสลับกันไปเดือนละเพศ เมื่อเป็นบุรุษ ชื่อ อิราช เมื่อเป็นสตรี ชื่อนางอิลา
เมื่อถึงเดือนที่เป็นสตรี นางอิลาและบริวารสตรีพากันไปเที่ยวเล่นในป่า และเผอิญพบกับพระพุธ ที่กำลังบำเพ็ญตบะในป่า นางอิลาได้อยู่เป็นชายาของพระพุธ จนครบเดือน เมื่อเป็นบุรุษ ก็ลืมความเป็นไปในภาคสตรีเพศ และเป็นเช่นนี้กระทั่งเก้าเดือน นางอิลาก็ให้ประสูติกุมารองค์หนึ่ง พระพุธให้นามว่า ปุรุรพ
เมื่อท้าวอิลราชคืนมาเป็นบุรุษ พระพุธเห็นใจ จึงประชุมมหาฤษีเพื่อหาทางแก้ไขคำสาปให้แก่ท้าวอิลราช ในที่สุดที่ประชุมตกลงทำพิธีอัศวเมธ ทำให้ท้าวอิลราชคืนมาเป็นเพศบุรุษอีกครั้ง
credit : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vinitsiri&month=10-2009&date=23&group=23&gblog=13
ในนครพลหิกา มีกษัตริย์ครองนคร ทรงพระนามว่า ท้าวอิลราช เป็นกษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม วันหนึ่งในวสันตฤดู ทรงออกป่าล่าสัตว์พร้อมบริวาร จนถึงตำบลที่กำเนิดของพระขันทกุมาร
ในเวลานั้น พระอิศวรกำลังล้อเล่นกับพระอุมา ชายา ทรงจำแลงกายเป็นสตรี และบันดาลให้ทุกสิ่งในนั้นเป็นสตรีทั้งหมด ครั้นเมื่อท้าวอิลราชและข้าราชบริพารผ่านเข้าไปในป่าดังกล่าว ก็กลายเป็นสตรีไปทั้งหมด
ครั้นเมื่อท้าวอิลราชกลายเป็นสตรี ก็ตกใจ ทูลขออภัยจากพระอิศวร พระอิศวรไม่ทรงยอม แต่พระอุมาเทวีประทานพรให้กึ่งหนึ่ง คือเป็นบุรุษและสตรีสลับกันไปเดือนละเพศ เมื่อเป็นบุรุษ ชื่อ อิราช เมื่อเป็นสตรี ชื่อนางอิลา
เมื่อถึงเดือนที่เป็นสตรี นางอิลาและบริวารสตรีพากันไปเที่ยวเล่นในป่า และเผอิญพบกับพระพุธ ที่กำลังบำเพ็ญตบะในป่า นางอิลาได้อยู่เป็นชายาของพระพุธ จนครบเดือน เมื่อเป็นบุรุษ ก็ลืมความเป็นไปในภาคสตรีเพศ และเป็นเช่นนี้กระทั่งเก้าเดือน นางอิลาก็ให้ประสูติกุมารองค์หนึ่ง พระพุธให้นามว่า ปุรุรพ
เมื่อท้าวอิลราชคืนมาเป็นบุรุษ พระพุธเห็นใจ จึงประชุมมหาฤษีเพื่อหาทางแก้ไขคำสาปให้แก่ท้าวอิลราช ในที่สุดที่ประชุมตกลงทำพิธีอัศวเมธ ทำให้ท้าวอิลราชคืนมาเป็นเพศบุรุษอีกครั้ง
credit : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vinitsiri&month=10-2009&date=23&group=23&gblog=13
เรื่องย่อวรรณคดี อุษา – บารส
ตำนานรัก "อุษา – บารส"
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ในเขต อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญเกี่ยวกับอารยธรรมของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศคือมีหินทรายที่ถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลาเกิดรูปร่างแปลกตาในรูปทรงต่างๆ นับเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติในการจัดแต่งกลุ่มก้อนหินให้มีลักษณะต่างๆ ซึ่งคนรุ่นเก่าสมัยก่อนได้นำมาผูกแต่งจินตนาการเป็นเรื่องราวให้สอดคล้องกับสถานที่ นั่นคือ ตำนานรักอุษา-บารส อันลือเลื่อง
พระยาพานผู้ครองเมืองพาน ได้นำธิดาแสนสวยชื่อ "นางอุษา" ไปฝากไว้กับฤาษี ในบริเวณป่าแถวภูพาน เพื่อให้นางอุษาได้ร่ำเรียนวิชา โดยสร้างหอคอยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังคนเดียว ซึ่งต่อมาชาวบ้านเรียกว่า หอนางอุษา มีลักษณะเป็นเพิงหินรูปคล้ายดอกเห็ด ขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 7 เมตร ตรงผนังหินด้านทิศเหนือของก้อนหินก้อนล่างมีภาพเขียนสีเป็นลายเส้นสีแดง 2-3 เส้น
ต่อมานางอุษาได้ร้อยดอกไม้เป็นรูปหงส์ พร้อมข้อความแสวงหาความรักลงในกลีบดอกไม้ อธิษฐานว่าใครที่จะเป็นคู่ครองของนาง ขอให้เก็บพวงมาลัยพวงนี้ได้และขอให้ได้พบกัน แล้วนำไปลอยน้ำ ปรากฏว่า "ท้าวบารส" โอรสแห่งเมืองพระโค เป็นผู้เก็บได้และนึกรักใคร่นางอุษาทันที ได้ออกเดินทางรอนแรมไปตามป่าเขากับม้าคู่ใจ จนไปถึงที่อยู่ของนางอุษา ได้ผูกม้าไว้ที่เพิงหิน ซึ่งเรียกว่า คอกม้าท้าวบารส (มีภาพเขียนสีอยู่บนเพิงหินด้านทิศเหนือ)
เมื่อทั้งสองได้พบกัน ความรักก็เกิดขึ้น แต่เมื่อพระยาพานทราบข่าวก็โกรธมาก ได้ท้าพนันสร้างวัดแข่งกัน ภายในเวลาดาวประกายพรึกขึ้น หากฝ่ายใดสร้างเสร็จไม่ทันก็จะถูกตัดศีรษะ ฝ่ายท้าวบารสซึ่งมีแรงงานน้อยกว่า ได้คิดอุบายนำเทียนจุดสว่างไปตั้งอยู่บนปลายไม้เหนือยอดเขาฝ่ายพระยาพานเข้าใจผิดคิดว่าดาวประกายพรึกขึ้น จึงพากันหยุดสร้างขณะเดียวกันฝ่ายท้าวบารสก็เร่งสร้างจนเสร็จ เช้าขึ้นพอรู้ว่าวัดที่ตนเองสร้างไม่เสร็จ พระยาพานจึงถูกตัดศีรษะตามสัญญา
แต่พระยาพานก็สามารถฟื้นขึ้นมาใหม่ได้และเกิดการสู้รบกัน ท้าวบารสได้สังหารพระยาพาน นางอุษาเศร้าโศกเสียใจมาก ที่ท้าวบารสฆ่าพ่อของตนเอง และเมื่อกลับไปเมืองพะโค ก็ถูกพระมเหสีทั้ง 10 ของท้าวบารสรังแกและออกอุบายให้ท้าวบารส ออกไปสะเดาะเคราะห์ในป่าเป็นเวลา 1 ปี นางอุษาจึงหนีกลับไปที่หอนางอุษาด้วยความรู้สึกผิดหวังในความรักเกิดล้มป่วยเพราะตรอมใจ กระทั่งเสียชีวิตไป ฝ่ายท้าวบารสทราบข่าวก็รีบมาหา เห็นนางอุษาสิ้นชีวิตไป ก็ตรอมใจสิ้นตามนางไปอีกคน
จากตำนานรักอุษา-บารสนี้ ได้ปรากฏเป็นก้อนหินรูปร่างต่างๆ บริเวณภูพระบาท เช่น หอนาง อุษา คอกม้าท้าวบารส หีบศพนาง อุษา หีบศพท้าวบารส บ่อน้ำนางอุษา กี่นางอุษา และวัดพ่อตา วัดลูกเขย นอกเหนือจากนั้นยังมีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ประดับอยู่ตามผนังเกือบทุกแห่ง
สำหรับผู้มาเยือนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท นอกเหนือจะได้ชมความงามมหัศจรรย์ของหินรูปทรงต่างๆ แล้ว ยังมีที่เที่ยวอื่นๆในบริเวณใกล้เคียงคือ พระพุทธบาทบัวบก พระพุทธบาทหลังเต่า พระพุทธบาทบัวบาน รวมถึงถ้ำและเพิงหินต่างๆ ให้ได้ชมกัน
และอีกหนึ่งตำนาน อุสา - บารส อำเภอบ้านผือ อุดรธานี
นานมาแล้ว.........มีเมืองหนึ่ง ชื่อว่า เมืองพานมีพระยาพานปกครองดูแล มีพระราชบุตรนามว่าท้าวพานนา และพระราชธิดานามว่านางสมัญญา วันหนึ่งพระยาพานได้เสด็จประพาสป่า ได้พบกับนางอุสา ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดู จึงทรงขอนางอุสากับพระฤๅษีมาเลี้ยงเป็นลูกท้าวพานนาและนางสมัญญาก็รักนางอุสาดุจเดียวลูกในไส้ เมื่อนางอุสาเติมโตเป็นสาวรุ่นมีความงดงามจนเป็นที่เลืองลือไปทั่วทุกแคว้น
กล่าวฝ่าย พระยาไกลาสครองเมืองภูเงิน ทราบข่าวความงดงามของนางอุสาจึงใคร่อยากได้นางมาเป็นมเหสี จึงนำทองคำและเงินมาถวายพระยาพานเพื่อขอนางอุสาไปเป็นมเหสี แต่นางอุสา ปฏิเสธพระยาไกรลาส จึงกลับเมืองภูเงินไปอย่างผิดหวัง
กล่าวถึงท้าวบารสพระราชบุตรของพระยากิตติกรนารายณ์สี่มือเจ้าเมืองปะโคทรงโปรดปราน การเสด็จประพาสป่า วันนั้นได้เสด็จออกประพาสป่า จนมาถึงไทรใหญ่ จึงได้หยุดพักผ่อน และสั่งให้ เสนาอำมาตย์ตั้งเครื่องเซ่นสังเวยเทวดาอารักษ์ทั้งหลายอย่างอุดมสมบูรณ์ เมื่อเทวดาอารักษ์ทั้งหลาย ได้รับเครื่องเซ่นไหว้แล้วก็พากันคิดตอบแทนน้ำใจ ของท้าวบารส คืนวันนั้นขณะที่ทุกคนรวมทั้งท้าวบารสกำลัง หลับพักผ่อนกันในป่าเทวดาได้อุ้มเอาท้าวบารสไปไว้ในหอของอุสา เมื่อทั้งสองได้พบกัน ก็มีความพอใจกัน อยู่ด้วยกันเป็นเวลา ๗ คืน ตกดึกของคืนวันที่ ๘ ขณะที่นางอุสาและท้าวบารสกำลังหลับสนิทอยู่นั้น เทวดาก็ได้มาอุ้มท้าวบารสกลับไปที่ต้นไทรใหญ่เหมือนเดิม เมื่อท้าวบารสตื่นขึ้นมาทรงคิดว่า ตนฝันไปและทรงคิดถึงนางอุสาตลอดเวลานึกตั้งคำถามว่า นางเป็นใครอยู่ที่ไหน และได้พาขบวน เสนาอำมาตย์กลับเมืองปะโค
กล่าวถึงนางอุสาเมื่อตื่นขึ้นไม่พบท้าวบารสก็ได้สอบถามกับเหล่านางสนมทั้งหลายแต่ไม่มีใครทราบ นางสมัญญาเห็นผิดสังเกตจึงถามความเป็นไปจากนางอุสา นางอุสาจึงได้เล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง แต่นางก็ไม่รู้ว่าชายที่มาอยู่กับนางนั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน นางสมัญญารู้สึกเอ็นดู และสงสารนางอุสายิ่งนัก จึงอาสาวาดรูปกษัตริย์เมืองต่าง ๆ เอามาให้นางอุสาดู จนกระทั่งวาดมาถึงรูปของท้าวบารสพระราชบุตร แห่งเมืองปะโค นางอุสาเห็นแล้วดีใจมาก เมื่อทราบว่าท้าวบารสเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วนางอุสา รีบเขียนสาสน์ไปถึงท้าวบารสทันที ท้าวบารสเมื่อได้รับสาสน์ของนางอุสา และรู้ว่านางเป็นใคร อยู่ที่ไหนรีบควบม้ามาหาทันทีเช่นกัน เมื่อทั้งสองได้พบกันอีกครั้งมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ท้าวบารส อยู่ที่หอนางอุสาร่วมหนึ่งเดือน ความทราบถึงพระยาพาน พระยาพานทรงพิโรธอย่างเป็นไฟทีเดียว รีบบึ่งไปจับตัวท้าวบารส โดยไม่ฟังคำทัดทานใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ท้าวบารสจะอ้อนวอนด้วยเหตุผลใด ๆไม่รับฟังและสั่งให้ท้าวบารสไปขังไว้ร้อนถึงพระฤาษีเมื่อรู้ด้วยญาณว่าท้าวบารสถูกคุมขังไว้จึงได้เดินทางจากป่าเข้าวัง ขอให้พระยาพานปล่อยท้าวบารสเสียแต่ไม่สำเร็จ จึงได้เดินทางไปบอก พระยากิติกรนารายณ์สี่มือเจ้าเมืองปะโคพระราชบิดาของท้าวบารส พระยากิติกรนารายณ์สี่มือมีสาสน์ ไปถึงพระยานพรานให้ปล่อยท้าวบารสกลับคืนเมืองปะโคเสีย มิฉะนั้นจะต้องทำศึกกัน พระยาพานไม่ยอมปล่อยท้าวบารสและยินดีที่จะทำศึกกับเมืองปะโค
การทำศึกระหว่างเมืองพานกับเมืองปะโคนั้นเป็นไป อย่างเข้มข้นเพราะเจ้าเมืองทั้งสองต่างมีอิทธิฤทธิ์ด้วยกันทั้งคู่แต่แล้วพระยาพานเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำถูกฆ่าตาย ในสนามศึกครั้งนั้นนางอุสาได้ติดตามไปอยู่กับท้าวบารสที่เมืองปะโคแต่ต้องตรอมใจตลอดเวลา เพราะถูกนางสนมของท้าวบารสพูดและทำพฤติกรรมเสียดสีกระทั้กกระทั้น ต่างๆ นา ๆ ท้าวบารสไม่เอาใจใส่นางดั่งที่เคยอยู่กันที่หอนางอุสาได้รับความซอกช้ำใจมาก ในมี่สุดจึงตัดสินใจหนีกลับคืนเมืองพาน
เมื่อกลับถึงเมืองพาน นางอุสามีแต่ความคิดถึงท้าวบารสจนกินไม่ได้นอนไม่หลับจนล้มป่วยลง ท้าวพานนาและนางสมัญญาดูแลเอาใจใส่นางอุษา เป็นอย่างดีและรีบส่งข่าวไปบอกท้าวบารส เมื่อท้าวบารสทราบข่าวว่านางอุษาหนีกลับมาอยู่ที่เมืองพานและกำลังป่วยหนัก จึงรีบขวบม้ามาหาทันที แต่มาช้าไปเพราะนางอุษามีร่างกายซูบผอมลงไม่มีกำลังใจในการต่อสู้อีก ทั้งหัวใจบอบซ้ำ ในที่สุดนางอุษาก็ซ้ำใจตายท้าวพานนาและนางสมัญญา รู้สึกสะเทือนใจในการตายของนางอุษาจนสุดควบคุมจิตใจของตนเองได้ จึงขาดใจตามนางอุษาไปด้วย
เมื่อท้าวบารสมาถึงเมืองพานสามพี่น้องตายอยู่ด้วยกัน รู้สึกสำนึกผิดที่มีต่อนางอุษา พระยาพาน ท้าวพานนา นางสมัญญา และชาวเมืองพานทุกคนที่ตนทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ท้าวบารสเสียใจ เป็นที่สุดจึงล้มป่วยลง ขาดใจตายตามไปด้วยกันด้วยความรักที่ทุกคนมีต่อกัน อย่างบริสุทธิ์ จึงเป็นบุญให้ดวงวิญญาณไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์
เครดิต : http://www.boysapolclub.com/Forums/index.php?topic=2607.75
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ในเขต อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญเกี่ยวกับอารยธรรมของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศคือมีหินทรายที่ถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลาเกิดรูปร่างแปลกตาในรูปทรงต่างๆ นับเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติในการจัดแต่งกลุ่มก้อนหินให้มีลักษณะต่างๆ ซึ่งคนรุ่นเก่าสมัยก่อนได้นำมาผูกแต่งจินตนาการเป็นเรื่องราวให้สอดคล้องกับสถานที่ นั่นคือ ตำนานรักอุษา-บารส อันลือเลื่อง
พระยาพานผู้ครองเมืองพาน ได้นำธิดาแสนสวยชื่อ "นางอุษา" ไปฝากไว้กับฤาษี ในบริเวณป่าแถวภูพาน เพื่อให้นางอุษาได้ร่ำเรียนวิชา โดยสร้างหอคอยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังคนเดียว ซึ่งต่อมาชาวบ้านเรียกว่า หอนางอุษา มีลักษณะเป็นเพิงหินรูปคล้ายดอกเห็ด ขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 7 เมตร ตรงผนังหินด้านทิศเหนือของก้อนหินก้อนล่างมีภาพเขียนสีเป็นลายเส้นสีแดง 2-3 เส้น
ต่อมานางอุษาได้ร้อยดอกไม้เป็นรูปหงส์ พร้อมข้อความแสวงหาความรักลงในกลีบดอกไม้ อธิษฐานว่าใครที่จะเป็นคู่ครองของนาง ขอให้เก็บพวงมาลัยพวงนี้ได้และขอให้ได้พบกัน แล้วนำไปลอยน้ำ ปรากฏว่า "ท้าวบารส" โอรสแห่งเมืองพระโค เป็นผู้เก็บได้และนึกรักใคร่นางอุษาทันที ได้ออกเดินทางรอนแรมไปตามป่าเขากับม้าคู่ใจ จนไปถึงที่อยู่ของนางอุษา ได้ผูกม้าไว้ที่เพิงหิน ซึ่งเรียกว่า คอกม้าท้าวบารส (มีภาพเขียนสีอยู่บนเพิงหินด้านทิศเหนือ)
เมื่อทั้งสองได้พบกัน ความรักก็เกิดขึ้น แต่เมื่อพระยาพานทราบข่าวก็โกรธมาก ได้ท้าพนันสร้างวัดแข่งกัน ภายในเวลาดาวประกายพรึกขึ้น หากฝ่ายใดสร้างเสร็จไม่ทันก็จะถูกตัดศีรษะ ฝ่ายท้าวบารสซึ่งมีแรงงานน้อยกว่า ได้คิดอุบายนำเทียนจุดสว่างไปตั้งอยู่บนปลายไม้เหนือยอดเขาฝ่ายพระยาพานเข้าใจผิดคิดว่าดาวประกายพรึกขึ้น จึงพากันหยุดสร้างขณะเดียวกันฝ่ายท้าวบารสก็เร่งสร้างจนเสร็จ เช้าขึ้นพอรู้ว่าวัดที่ตนเองสร้างไม่เสร็จ พระยาพานจึงถูกตัดศีรษะตามสัญญา
แต่พระยาพานก็สามารถฟื้นขึ้นมาใหม่ได้และเกิดการสู้รบกัน ท้าวบารสได้สังหารพระยาพาน นางอุษาเศร้าโศกเสียใจมาก ที่ท้าวบารสฆ่าพ่อของตนเอง และเมื่อกลับไปเมืองพะโค ก็ถูกพระมเหสีทั้ง 10 ของท้าวบารสรังแกและออกอุบายให้ท้าวบารส ออกไปสะเดาะเคราะห์ในป่าเป็นเวลา 1 ปี นางอุษาจึงหนีกลับไปที่หอนางอุษาด้วยความรู้สึกผิดหวังในความรักเกิดล้มป่วยเพราะตรอมใจ กระทั่งเสียชีวิตไป ฝ่ายท้าวบารสทราบข่าวก็รีบมาหา เห็นนางอุษาสิ้นชีวิตไป ก็ตรอมใจสิ้นตามนางไปอีกคน
จากตำนานรักอุษา-บารสนี้ ได้ปรากฏเป็นก้อนหินรูปร่างต่างๆ บริเวณภูพระบาท เช่น หอนาง อุษา คอกม้าท้าวบารส หีบศพนาง อุษา หีบศพท้าวบารส บ่อน้ำนางอุษา กี่นางอุษา และวัดพ่อตา วัดลูกเขย นอกเหนือจากนั้นยังมีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ประดับอยู่ตามผนังเกือบทุกแห่ง
สำหรับผู้มาเยือนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท นอกเหนือจะได้ชมความงามมหัศจรรย์ของหินรูปทรงต่างๆ แล้ว ยังมีที่เที่ยวอื่นๆในบริเวณใกล้เคียงคือ พระพุทธบาทบัวบก พระพุทธบาทหลังเต่า พระพุทธบาทบัวบาน รวมถึงถ้ำและเพิงหินต่างๆ ให้ได้ชมกัน
และอีกหนึ่งตำนาน อุสา - บารส อำเภอบ้านผือ อุดรธานี
นานมาแล้ว.........มีเมืองหนึ่ง ชื่อว่า เมืองพานมีพระยาพานปกครองดูแล มีพระราชบุตรนามว่าท้าวพานนา และพระราชธิดานามว่านางสมัญญา วันหนึ่งพระยาพานได้เสด็จประพาสป่า ได้พบกับนางอุสา ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดู จึงทรงขอนางอุสากับพระฤๅษีมาเลี้ยงเป็นลูกท้าวพานนาและนางสมัญญาก็รักนางอุสาดุจเดียวลูกในไส้ เมื่อนางอุสาเติมโตเป็นสาวรุ่นมีความงดงามจนเป็นที่เลืองลือไปทั่วทุกแคว้น
กล่าวฝ่าย พระยาไกลาสครองเมืองภูเงิน ทราบข่าวความงดงามของนางอุสาจึงใคร่อยากได้นางมาเป็นมเหสี จึงนำทองคำและเงินมาถวายพระยาพานเพื่อขอนางอุสาไปเป็นมเหสี แต่นางอุสา ปฏิเสธพระยาไกรลาส จึงกลับเมืองภูเงินไปอย่างผิดหวัง
กล่าวถึงท้าวบารสพระราชบุตรของพระยากิตติกรนารายณ์สี่มือเจ้าเมืองปะโคทรงโปรดปราน การเสด็จประพาสป่า วันนั้นได้เสด็จออกประพาสป่า จนมาถึงไทรใหญ่ จึงได้หยุดพักผ่อน และสั่งให้ เสนาอำมาตย์ตั้งเครื่องเซ่นสังเวยเทวดาอารักษ์ทั้งหลายอย่างอุดมสมบูรณ์ เมื่อเทวดาอารักษ์ทั้งหลาย ได้รับเครื่องเซ่นไหว้แล้วก็พากันคิดตอบแทนน้ำใจ ของท้าวบารส คืนวันนั้นขณะที่ทุกคนรวมทั้งท้าวบารสกำลัง หลับพักผ่อนกันในป่าเทวดาได้อุ้มเอาท้าวบารสไปไว้ในหอของอุสา เมื่อทั้งสองได้พบกัน ก็มีความพอใจกัน อยู่ด้วยกันเป็นเวลา ๗ คืน ตกดึกของคืนวันที่ ๘ ขณะที่นางอุสาและท้าวบารสกำลังหลับสนิทอยู่นั้น เทวดาก็ได้มาอุ้มท้าวบารสกลับไปที่ต้นไทรใหญ่เหมือนเดิม เมื่อท้าวบารสตื่นขึ้นมาทรงคิดว่า ตนฝันไปและทรงคิดถึงนางอุสาตลอดเวลานึกตั้งคำถามว่า นางเป็นใครอยู่ที่ไหน และได้พาขบวน เสนาอำมาตย์กลับเมืองปะโค
กล่าวถึงนางอุสาเมื่อตื่นขึ้นไม่พบท้าวบารสก็ได้สอบถามกับเหล่านางสนมทั้งหลายแต่ไม่มีใครทราบ นางสมัญญาเห็นผิดสังเกตจึงถามความเป็นไปจากนางอุสา นางอุสาจึงได้เล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง แต่นางก็ไม่รู้ว่าชายที่มาอยู่กับนางนั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน นางสมัญญารู้สึกเอ็นดู และสงสารนางอุสายิ่งนัก จึงอาสาวาดรูปกษัตริย์เมืองต่าง ๆ เอามาให้นางอุสาดู จนกระทั่งวาดมาถึงรูปของท้าวบารสพระราชบุตร แห่งเมืองปะโค นางอุสาเห็นแล้วดีใจมาก เมื่อทราบว่าท้าวบารสเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วนางอุสา รีบเขียนสาสน์ไปถึงท้าวบารสทันที ท้าวบารสเมื่อได้รับสาสน์ของนางอุสา และรู้ว่านางเป็นใคร อยู่ที่ไหนรีบควบม้ามาหาทันทีเช่นกัน เมื่อทั้งสองได้พบกันอีกครั้งมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ท้าวบารส อยู่ที่หอนางอุสาร่วมหนึ่งเดือน ความทราบถึงพระยาพาน พระยาพานทรงพิโรธอย่างเป็นไฟทีเดียว รีบบึ่งไปจับตัวท้าวบารส โดยไม่ฟังคำทัดทานใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ท้าวบารสจะอ้อนวอนด้วยเหตุผลใด ๆไม่รับฟังและสั่งให้ท้าวบารสไปขังไว้ร้อนถึงพระฤาษีเมื่อรู้ด้วยญาณว่าท้าวบารสถูกคุมขังไว้จึงได้เดินทางจากป่าเข้าวัง ขอให้พระยาพานปล่อยท้าวบารสเสียแต่ไม่สำเร็จ จึงได้เดินทางไปบอก พระยากิติกรนารายณ์สี่มือเจ้าเมืองปะโคพระราชบิดาของท้าวบารส พระยากิติกรนารายณ์สี่มือมีสาสน์ ไปถึงพระยานพรานให้ปล่อยท้าวบารสกลับคืนเมืองปะโคเสีย มิฉะนั้นจะต้องทำศึกกัน พระยาพานไม่ยอมปล่อยท้าวบารสและยินดีที่จะทำศึกกับเมืองปะโค
การทำศึกระหว่างเมืองพานกับเมืองปะโคนั้นเป็นไป อย่างเข้มข้นเพราะเจ้าเมืองทั้งสองต่างมีอิทธิฤทธิ์ด้วยกันทั้งคู่แต่แล้วพระยาพานเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำถูกฆ่าตาย ในสนามศึกครั้งนั้นนางอุสาได้ติดตามไปอยู่กับท้าวบารสที่เมืองปะโคแต่ต้องตรอมใจตลอดเวลา เพราะถูกนางสนมของท้าวบารสพูดและทำพฤติกรรมเสียดสีกระทั้กกระทั้น ต่างๆ นา ๆ ท้าวบารสไม่เอาใจใส่นางดั่งที่เคยอยู่กันที่หอนางอุสาได้รับความซอกช้ำใจมาก ในมี่สุดจึงตัดสินใจหนีกลับคืนเมืองพาน
เมื่อกลับถึงเมืองพาน นางอุสามีแต่ความคิดถึงท้าวบารสจนกินไม่ได้นอนไม่หลับจนล้มป่วยลง ท้าวพานนาและนางสมัญญาดูแลเอาใจใส่นางอุษา เป็นอย่างดีและรีบส่งข่าวไปบอกท้าวบารส เมื่อท้าวบารสทราบข่าวว่านางอุษาหนีกลับมาอยู่ที่เมืองพานและกำลังป่วยหนัก จึงรีบขวบม้ามาหาทันที แต่มาช้าไปเพราะนางอุษามีร่างกายซูบผอมลงไม่มีกำลังใจในการต่อสู้อีก ทั้งหัวใจบอบซ้ำ ในที่สุดนางอุษาก็ซ้ำใจตายท้าวพานนาและนางสมัญญา รู้สึกสะเทือนใจในการตายของนางอุษาจนสุดควบคุมจิตใจของตนเองได้ จึงขาดใจตามนางอุษาไปด้วย
เมื่อท้าวบารสมาถึงเมืองพานสามพี่น้องตายอยู่ด้วยกัน รู้สึกสำนึกผิดที่มีต่อนางอุษา พระยาพาน ท้าวพานนา นางสมัญญา และชาวเมืองพานทุกคนที่ตนทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ท้าวบารสเสียใจ เป็นที่สุดจึงล้มป่วยลง ขาดใจตายตามไปด้วยกันด้วยความรักที่ทุกคนมีต่อกัน อย่างบริสุทธิ์ จึงเป็นบุญให้ดวงวิญญาณไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์
เครดิต : http://www.boysapolclub.com/Forums/index.php?topic=2607.75
เรื่องย่อ มิติมหัศจรรย์ บทประพันธ์ จุฑารัตน์
มิติมหัศจรรย์ บทประพันธ์ จุฑารัตน์
เรื่องย่อ
พระเสาร์ได้เจอกินรี 3 พี่น้อง และเกิดชอบใจในตัวกินรีเกศกัลยา แต่เกศกัลยาไม่ได้รักพระเสาร์ และรู้ว่าพี่สาวของเธอต่างหากที่หลงรักพระเสาร์ตั้งแต่แรกพบ เกศกัลยาจึงตั้งเงื่อนไขกับพระเสาร์ว่า ขอเวลา 3 ปี และขอให้พระเสาร์สามารถให้ชีวิตเป็นอมตะแก่เธอ พระเสาร์ตอบตกลง แต่วิธีที่จะทำให้เกศกัลยาเป็นอมตะมีเพียงสร้อยพระศอมรกตอมตะรัตน์ของพระอุมาเทวีเท่านั้น แต่การจะไปขอสร้อยมาเปล่าๆ ก็ดูไม่ดี พระเสาร์จึงได้ไปหาหน่อต้นสุคนธบุษบง ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ปลูกยากมากมาปลูกไว้ที่เขาไกรลาศ โดยปลอมเป็นคนเฝ้าสวน เพื่อจะเอาไปแลกกับสร้อยพระศอฯ ในขณะนั้นพระเสาร์ ในฐานะคนสวนที่ชื่อ “ศนิ” ได้พบกับเทพธิดาน้อยทิพย์อัปสร ทั้งคู่ก็คบหากันเป็นเพื่อน ทิพย์อัปสรบอกพระเสาร์ว่าที่มาเป็นนางกำนัลเพราะอยากเห็นเทพผู้ใหญ่ ทำให้พระเสาร์เอ็นดูนางมาก
ฝ่ายเกศกัลยาได้หนีไปเที่ยวป่าหิมพานต์แต่เพียงลำพัง และได้โดนงูพิษกัดที่สระบัว วิทยาธรชื่อ “วิรุฬ” ได้ผ่านมาช่วยเหลือและพานางไปส่งที่ภัทรานคร เกศกัลยาเล่าเรื่องราวให้ท้าวธุมราช (เสด็จพ่อ) ฟัง ท้าวธุมราชจึงทรงให้วิรุฬรับราชการอยู่ที่ภัทรานครเป็นการตอบแทน วิรุฬจึงยอมตกลงเพราะหวังใกล้ชิดกับเกศกัลยา ในที่สุด ทั้งสองก็รักกัน
วันหนึ่งพระอังคารก็เสด็จมาเยี่ยมพระอุมาเทวี แต่ไปเจอทิพยอัปสรกำลังเล่นปิดตากับนางกำนัล และมาจับถูกพระอังคารเพราะมองไม่เห็น พอรู้ว่าเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักก็ร้องโวยวาย พระอุมาเทวีจึงได้บอกว่าทิพย์อัปสรว่านี่คือพระอังคารซึ่งเป็นเทพ ผู้ใหญ่อีกองค์ แล้วให้ทิพย์อัปสรไปรินสุราถวาย ทิพย์อัปสรเงอะงะทำสุราหกใส่พระอังคาร พระอังคารไม่โกรธแต่กลับทำให้พระอังคารประทับใจนางมากขึ้น
พอวันเกิดของทิพย์อัปสร นางได้รับแหวนจากพระแม่อุมา ส่วนพระเสาร์สอนมนต์บังฟ้าให้นางเพื่อให้ใช้ป้องกันตัว และหากศัตรูของนางเห็นว่าทิพย์อัปสรใช้มนต์บทนี้ก็จะรู้ว่านางมีพระเสาร์คอย คุ้มครองอยู่
ครั้นพอต้น สุคนธบุษบงออกดอกเบ่งบาน กลิ่นของดอกคันธบุษบงขจรขจายไปทั่วเขาไกรลาศ พระอุมาเทวีทรงพอพระทัยมากได้ถามหาว่าใครเป็นผู้ปลูกต้นไม้นี้ พระนางจะประทานรางวัลให้ พระเสาร์จึงปรากฏองค์และเล่าเรื่องราวของเกศกัลยาให้ทราบพร้อมกับทูลขอสร้อยพระศอมรกตอมตะรัตน์จากองค์พระอุมาเทวี ซึ่งพระอุมาเทวีก็ประทานให้ ทิพย์อัปสรเพิ่งได้รู้ว่าแท้จริงแล้วศนิที่นางหลงรัก คือพระเสาร์ และมีคู่หมายแล้วคือนางกินรีเกศกัลยา ก็เสียใจมาก จึงตัดสินใจทูลลาพระอุมาเทวีกลับไปยังทะเลสีธันดรบ้านของนางในวันนั้นโดยไม่ได้บอกลาพระเสาร์ ฝ่ายพระเสาร์หลังจากรู้ว่าทิพย์อัปสรไม่อยู่แล้ว ก็รู้สึกเศร้าใจ และเตรียมจะไปสู่ขอนางกินรีด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้ยินดี ทั้งที่จะได้แต่งงานกับสตรีที่หมายปองมานานขณะที่ทิพย์อัปสรกลับบ้านก็เกิดอยากเห็นหน้าเกศกัลยาจะงามขนาดไหน จึงเปลี่ยนทิศเดินทางไปยังภัทรานคร ระหว่างทางนางได้ถวายผลไม้แก่ฤาษีผู้หนึ่ง ฤาษีได้เตือนให้นางระวังตนไว้ อย่าได้ทำอะไรผลีผลามอันจะเกิดเป็นกรรมหนัก ทิพย์อัปสรกราบลาฤาษีแล้วเดินทางไปจนถึงภัทรานคร นางแอบได้ยินเกศกัลยาคุยกับวิรุฬ จึงได้รู้ว่าเกศกัลยากับวิรุฬรักกันมาก ถ้าพระเสาร์ไม่มาสู่ขอภายในเวลา 3 ตามสัญญา ท้าวทุมราชก็จะอนุญาตให้เกศกัลยาได้แต่งงานกับวิรุฬทันที ทิพย์อัปสรคิดไปตามประสาว่า ถ้านางช่วยให้ทั้งสองสมหวัง พระเสาร์ก็จะตัดใจจากเกศกัลยาไปเอง ทิพย์อัปสรจึงใช้มนต์บังฟ้าและแหวนจากพระแม่ฯ ให้คนในภัทรานครเข้าใจเวลา ผิดไปหนึ่งวัน ท้าวธุมราชเข้าพระทัยว่าครบกำหนดเวลาสามปีแล้วพระเสาร์ไม่เสด็จมาจึงจัดงานแต่งงานให้กับเกศกัลยาและวิรุฬ ซึ่งพระเสาร์ก็มาถึงพอดี พระเสาร์พิโรธมากที่พวกกินรีหาว่าพระองค์ไม่ตรงต่อเวลา ก็โกรธจัดจึงสาปให้ทั้งเมืองให้กลายเป็นหิน และวิญญาณของทุกคนจะถูกจองจำไว้ จนกว่าจะได้น้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 โลก มารดราดพื้นดิน ณ ใจกลางของภัทรานคร
ทิพย์อัปสร ซึ่งใช้กำลังเกินตัวในการใช้มนต์ฯ ก็หมดสิ้นอิทธิฤทธิ์ที่มีจนใกล้ตาย นางเดินเท้าตั้งใจจะกลับทะเลสีธันดร แต่ก็มีคนธรรพ์มาจับตัวไว้ พระเสาร์ซึ่งกำลังกริ้วผ่านมาช่วยนางทันเวลา พอทิพย์อัปสรรู้ว่าพระเสาร์สาปพวกกินรีที่ภัทรานครเป็นหินหมดก็รู้สึกเสียใจมาก นางได้สารภาพกับพระเสาร์ว่านางเป็นคนใช้มนต์บังฟ้าเลื่อนเวลาในภัทรานครเอง เพราะไม่อยากให้พระเสาร์แต่งงานกับหญิงอื่น ที่นางทำไปเพราะคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะร้ายแรงขนาดนี้
ฝ่ายพระอังคารก็ถูกพระศิวะขอ ให้จุติลงมาเมืองมนุษย์เพื่อปราบคนชั่ว พระอังคารเลยทูลขอทิพย์อัปสรไปเป็นชายาทั้งในโลกมนุษย์และกลับมาบนสวรรค์ พระอุมาเทวีไม่ขัดข้องแต่ทิพย์อัปสรได้ทูลลากลับบ้านไปแล้ว จึงแนะให้พระอังคารไปขอทิพย์อัปสรกับพระสมุทรซึ่งเป็นบิดา
ทางพระเสาร์เองหายกริ้วแต่ไม่ยอมถอนคำสาปและได้พาทิพย์อัปสรไปรักษาตัวบนวิมานของตน เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน พระเสาร์จึงรู้ว่าพระองค์ทรงรักทิพย์อัปสรและจะจัดงานแต่งงานระหว่าง พระองค์กับทิพย์อัปสรขึ้นโดยให้อมรเทพส่งสาสน์ไปให้พระสมุทรที่ทะเลสีธันดร
ระหว่างนั้นพระอังคารและพระสมุทรได้ส่งคนออกตามหาตัวทิพย์อัปสรแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ กำหนดฤกษ์จุติของพระอังคารก็ใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดก็ได้รู้จากบริวารว่าทิพย์อัปสรกำลังจะแต่งงานกับพระเสาร์ จึงบุกมาในวันแต่งงานเพื่อแย่งตัวนางกลับไป พระเสาร์กับพระอังคารต่อสู้กัน เป็นเหตุให้ทิพย์อัปสรต้องสะเก็ดอาวุธของมหาเทพทั้งสองจนถึงแก่ความตาย พระอังคารเสียใจมาก แต่คิดได้ว่าจะต้องลงไปโลกมนุษย์อยู่แล้ว และคงจะได้เจอทิพย์อัปสร เลยเสด็จจุติโดยไม่รอฤกษ์ พระอินทร์ทราบข่าว ก็เลยส่งสุลักษณาลงไป หวังให้เป็นคู่ของพระอังคารแทนทิพย์อัปสร
ดวงวิญญาณของทิพย์อัปสรไปเกิดยังโลกมนุษย์ ชื่อว่า ”ทิพย์มณี” และใช้ชีวิตเช่นปกติจนเติบใหญ่เข้ามหาวิทยาลัย และหมั้นหมายกับอานนท์ (วิรุฬ) เพื่อนของพี่ชาย โดยแหวนหมั้นทำมาจากมรกตจากสร้อยพระศอฯที่เกิดเรื่องในเมืองภัทรานคร ช่วงที่ทิพย์มณีอยู่ในโลกนี้พระเสาร์ก็ยังคอยคุ้มครองดูแลอยู่ห่างๆเรื่องการหมั้นทำให้เพื่อนชายที่แอบหลงรักโกรธมาก และหลอกพาทิพย์มณีไปจนประสบอุบัติเหตุ ทำให้พลัดหลงเข้ามาในดินแดนอันเป็นอดีตชาติของตน
เรื่องย่อ
พระเสาร์ได้เจอกินรี 3 พี่น้อง และเกิดชอบใจในตัวกินรีเกศกัลยา แต่เกศกัลยาไม่ได้รักพระเสาร์ และรู้ว่าพี่สาวของเธอต่างหากที่หลงรักพระเสาร์ตั้งแต่แรกพบ เกศกัลยาจึงตั้งเงื่อนไขกับพระเสาร์ว่า ขอเวลา 3 ปี และขอให้พระเสาร์สามารถให้ชีวิตเป็นอมตะแก่เธอ พระเสาร์ตอบตกลง แต่วิธีที่จะทำให้เกศกัลยาเป็นอมตะมีเพียงสร้อยพระศอมรกตอมตะรัตน์ของพระอุมาเทวีเท่านั้น แต่การจะไปขอสร้อยมาเปล่าๆ ก็ดูไม่ดี พระเสาร์จึงได้ไปหาหน่อต้นสุคนธบุษบง ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ปลูกยากมากมาปลูกไว้ที่เขาไกรลาศ โดยปลอมเป็นคนเฝ้าสวน เพื่อจะเอาไปแลกกับสร้อยพระศอฯ ในขณะนั้นพระเสาร์ ในฐานะคนสวนที่ชื่อ “ศนิ” ได้พบกับเทพธิดาน้อยทิพย์อัปสร ทั้งคู่ก็คบหากันเป็นเพื่อน ทิพย์อัปสรบอกพระเสาร์ว่าที่มาเป็นนางกำนัลเพราะอยากเห็นเทพผู้ใหญ่ ทำให้พระเสาร์เอ็นดูนางมาก
ฝ่ายเกศกัลยาได้หนีไปเที่ยวป่าหิมพานต์แต่เพียงลำพัง และได้โดนงูพิษกัดที่สระบัว วิทยาธรชื่อ “วิรุฬ” ได้ผ่านมาช่วยเหลือและพานางไปส่งที่ภัทรานคร เกศกัลยาเล่าเรื่องราวให้ท้าวธุมราช (เสด็จพ่อ) ฟัง ท้าวธุมราชจึงทรงให้วิรุฬรับราชการอยู่ที่ภัทรานครเป็นการตอบแทน วิรุฬจึงยอมตกลงเพราะหวังใกล้ชิดกับเกศกัลยา ในที่สุด ทั้งสองก็รักกัน
วันหนึ่งพระอังคารก็เสด็จมาเยี่ยมพระอุมาเทวี แต่ไปเจอทิพยอัปสรกำลังเล่นปิดตากับนางกำนัล และมาจับถูกพระอังคารเพราะมองไม่เห็น พอรู้ว่าเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักก็ร้องโวยวาย พระอุมาเทวีจึงได้บอกว่าทิพย์อัปสรว่านี่คือพระอังคารซึ่งเป็นเทพ ผู้ใหญ่อีกองค์ แล้วให้ทิพย์อัปสรไปรินสุราถวาย ทิพย์อัปสรเงอะงะทำสุราหกใส่พระอังคาร พระอังคารไม่โกรธแต่กลับทำให้พระอังคารประทับใจนางมากขึ้น
พอวันเกิดของทิพย์อัปสร นางได้รับแหวนจากพระแม่อุมา ส่วนพระเสาร์สอนมนต์บังฟ้าให้นางเพื่อให้ใช้ป้องกันตัว และหากศัตรูของนางเห็นว่าทิพย์อัปสรใช้มนต์บทนี้ก็จะรู้ว่านางมีพระเสาร์คอย คุ้มครองอยู่
ครั้นพอต้น สุคนธบุษบงออกดอกเบ่งบาน กลิ่นของดอกคันธบุษบงขจรขจายไปทั่วเขาไกรลาศ พระอุมาเทวีทรงพอพระทัยมากได้ถามหาว่าใครเป็นผู้ปลูกต้นไม้นี้ พระนางจะประทานรางวัลให้ พระเสาร์จึงปรากฏองค์และเล่าเรื่องราวของเกศกัลยาให้ทราบพร้อมกับทูลขอสร้อยพระศอมรกตอมตะรัตน์จากองค์พระอุมาเทวี ซึ่งพระอุมาเทวีก็ประทานให้ ทิพย์อัปสรเพิ่งได้รู้ว่าแท้จริงแล้วศนิที่นางหลงรัก คือพระเสาร์ และมีคู่หมายแล้วคือนางกินรีเกศกัลยา ก็เสียใจมาก จึงตัดสินใจทูลลาพระอุมาเทวีกลับไปยังทะเลสีธันดรบ้านของนางในวันนั้นโดยไม่ได้บอกลาพระเสาร์ ฝ่ายพระเสาร์หลังจากรู้ว่าทิพย์อัปสรไม่อยู่แล้ว ก็รู้สึกเศร้าใจ และเตรียมจะไปสู่ขอนางกินรีด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้ยินดี ทั้งที่จะได้แต่งงานกับสตรีที่หมายปองมานานขณะที่ทิพย์อัปสรกลับบ้านก็เกิดอยากเห็นหน้าเกศกัลยาจะงามขนาดไหน จึงเปลี่ยนทิศเดินทางไปยังภัทรานคร ระหว่างทางนางได้ถวายผลไม้แก่ฤาษีผู้หนึ่ง ฤาษีได้เตือนให้นางระวังตนไว้ อย่าได้ทำอะไรผลีผลามอันจะเกิดเป็นกรรมหนัก ทิพย์อัปสรกราบลาฤาษีแล้วเดินทางไปจนถึงภัทรานคร นางแอบได้ยินเกศกัลยาคุยกับวิรุฬ จึงได้รู้ว่าเกศกัลยากับวิรุฬรักกันมาก ถ้าพระเสาร์ไม่มาสู่ขอภายในเวลา 3 ตามสัญญา ท้าวทุมราชก็จะอนุญาตให้เกศกัลยาได้แต่งงานกับวิรุฬทันที ทิพย์อัปสรคิดไปตามประสาว่า ถ้านางช่วยให้ทั้งสองสมหวัง พระเสาร์ก็จะตัดใจจากเกศกัลยาไปเอง ทิพย์อัปสรจึงใช้มนต์บังฟ้าและแหวนจากพระแม่ฯ ให้คนในภัทรานครเข้าใจเวลา ผิดไปหนึ่งวัน ท้าวธุมราชเข้าพระทัยว่าครบกำหนดเวลาสามปีแล้วพระเสาร์ไม่เสด็จมาจึงจัดงานแต่งงานให้กับเกศกัลยาและวิรุฬ ซึ่งพระเสาร์ก็มาถึงพอดี พระเสาร์พิโรธมากที่พวกกินรีหาว่าพระองค์ไม่ตรงต่อเวลา ก็โกรธจัดจึงสาปให้ทั้งเมืองให้กลายเป็นหิน และวิญญาณของทุกคนจะถูกจองจำไว้ จนกว่าจะได้น้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 โลก มารดราดพื้นดิน ณ ใจกลางของภัทรานคร
ทิพย์อัปสร ซึ่งใช้กำลังเกินตัวในการใช้มนต์ฯ ก็หมดสิ้นอิทธิฤทธิ์ที่มีจนใกล้ตาย นางเดินเท้าตั้งใจจะกลับทะเลสีธันดร แต่ก็มีคนธรรพ์มาจับตัวไว้ พระเสาร์ซึ่งกำลังกริ้วผ่านมาช่วยนางทันเวลา พอทิพย์อัปสรรู้ว่าพระเสาร์สาปพวกกินรีที่ภัทรานครเป็นหินหมดก็รู้สึกเสียใจมาก นางได้สารภาพกับพระเสาร์ว่านางเป็นคนใช้มนต์บังฟ้าเลื่อนเวลาในภัทรานครเอง เพราะไม่อยากให้พระเสาร์แต่งงานกับหญิงอื่น ที่นางทำไปเพราะคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะร้ายแรงขนาดนี้
ฝ่ายพระอังคารก็ถูกพระศิวะขอ ให้จุติลงมาเมืองมนุษย์เพื่อปราบคนชั่ว พระอังคารเลยทูลขอทิพย์อัปสรไปเป็นชายาทั้งในโลกมนุษย์และกลับมาบนสวรรค์ พระอุมาเทวีไม่ขัดข้องแต่ทิพย์อัปสรได้ทูลลากลับบ้านไปแล้ว จึงแนะให้พระอังคารไปขอทิพย์อัปสรกับพระสมุทรซึ่งเป็นบิดา
ทางพระเสาร์เองหายกริ้วแต่ไม่ยอมถอนคำสาปและได้พาทิพย์อัปสรไปรักษาตัวบนวิมานของตน เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน พระเสาร์จึงรู้ว่าพระองค์ทรงรักทิพย์อัปสรและจะจัดงานแต่งงานระหว่าง พระองค์กับทิพย์อัปสรขึ้นโดยให้อมรเทพส่งสาสน์ไปให้พระสมุทรที่ทะเลสีธันดร
ระหว่างนั้นพระอังคารและพระสมุทรได้ส่งคนออกตามหาตัวทิพย์อัปสรแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ กำหนดฤกษ์จุติของพระอังคารก็ใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดก็ได้รู้จากบริวารว่าทิพย์อัปสรกำลังจะแต่งงานกับพระเสาร์ จึงบุกมาในวันแต่งงานเพื่อแย่งตัวนางกลับไป พระเสาร์กับพระอังคารต่อสู้กัน เป็นเหตุให้ทิพย์อัปสรต้องสะเก็ดอาวุธของมหาเทพทั้งสองจนถึงแก่ความตาย พระอังคารเสียใจมาก แต่คิดได้ว่าจะต้องลงไปโลกมนุษย์อยู่แล้ว และคงจะได้เจอทิพย์อัปสร เลยเสด็จจุติโดยไม่รอฤกษ์ พระอินทร์ทราบข่าว ก็เลยส่งสุลักษณาลงไป หวังให้เป็นคู่ของพระอังคารแทนทิพย์อัปสร
ดวงวิญญาณของทิพย์อัปสรไปเกิดยังโลกมนุษย์ ชื่อว่า ”ทิพย์มณี” และใช้ชีวิตเช่นปกติจนเติบใหญ่เข้ามหาวิทยาลัย และหมั้นหมายกับอานนท์ (วิรุฬ) เพื่อนของพี่ชาย โดยแหวนหมั้นทำมาจากมรกตจากสร้อยพระศอฯที่เกิดเรื่องในเมืองภัทรานคร ช่วงที่ทิพย์มณีอยู่ในโลกนี้พระเสาร์ก็ยังคอยคุ้มครองดูแลอยู่ห่างๆเรื่องการหมั้นทำให้เพื่อนชายที่แอบหลงรักโกรธมาก และหลอกพาทิพย์มณีไปจนประสบอุบัติเหตุ ทำให้พลัดหลงเข้ามาในดินแดนอันเป็นอดีตชาติของตน
เรื่องย่อ วรรณคดี นิทานเวตาล
เรื่องย่อนิทานเวตาล
ณ ฝั่งแม่น้ำโคทาวรี มีพระมหานครแห่งหนึ่งตั้งอยู่นามว่า ประดิษฐาน ที่เมืองนี้ในสมัยบรรพกาลมีพระราชาธิบดีองค์หนึ่ง ทรงนามว่า ตริวิกรมเสน ได้ครองราไชศวรรย์มาด้วยความผาสุก พระองค์เป็นราชโอรสของพระเจ้าวิกรมเสนผู้ทรงเดชานุภาพเทียมท้าววัชรินทร์
ต่อมาได้มีนักบวชชื่อ ศานติศีล ได้นำผลไม้มาถวายทุกวันมิได้ขาด ซึ่งพระราชาแปลกใจ และได้ไปพบในคืนหนึ่งตามนัด ได้ถามถึงเหตุผลและเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ โยคีศานติศีลจอมเจ้าเล่ห์ได้ขอให้พระราชาตริวิกรมเสนนำเวตาลมาให้ตนเพื่อจะประกอบมหายัญพิธี
พระราชาผู้มีสัจจะเป็นมั่น ได้ไปนำเวตาลมาให้โยคีเจ้าเล่ห์ แต่เวตาลก็พยายามหน่วงเหนี่ยวด้วยการเล่านิทานทั้งสิ้น ๒๔ เรื่องด้วยกัน ซึ่งแต่ละเรื่องจะมีคำถามให้พระราชาตอบ โดยมีข้อแม้ว่า หากพระราชาทราบคำตอบแล้วไม่ตอบ ศีรษะของพระราชาจะต้องหลุดจากบ่า และหากพระราชาเอ่ยปากพูดเวตาลก็จะกลับไปสู่ที่เดิม
และก็เป็นดังนั้นทุกครั้ง ที่พระราชาตอบคำถามของเวตาล เวตาลก็จะหายกลับไปสู่ต้นไม้ที่สิงที่เดิม พระราชาก็จะเสด็จกลับไปเอาตัวเวตาลทุกครั้งไป จนเรื่องสุดท้ายพระราชาไม่ทราบคำตอบ ก็ทรงเงียบไม่พูด เวตาลพอใจในตัวพระราชามาก เพราะเป็นพระราชาผู้ไม่ย่อท้อ ผู้มีความกล้าหาญ ทำให้เวตาลบอกความจริงในความคิดของโยคีเจ้าเล่ห์ ว่าโยคีนั้นแท้จริงแล้ว ต้องการตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร โดยจะเอาพระราชาเป็นเครื่องสังเวยในการทำพิธี และอธิบายถึงวิธีกำจัดโยคีเจ้าเล่ห์
เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงโยคีตามที่นัดหมายไว้ ก็ปรากฎว่าโยคีได้เตรียมการทำอย่างที่เวตาลได้บอกกับพระราชาไว้ พระราชาจึงแก้โดยทำตามที่เวตาลได้อธิบายให้พระราชาฟัง พระราชาจึงได้ตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร และเวตาลได้บอกกับพระราชาตริวิกรมเสนว่า "ตำแหน่งนี้ได้มาเพราะความดีของพระองค์ ตำแหน่งนี้จะคอยพระองค์อยู่หลังจากที่ทรงเสวยสุขในโลกมนุษย์จนสิ้นอายุขัยแล้ว ข้าขอโทษในกาลที่แล้วมาในการที่ยั่วยวนประสาทพระองค์ แต่ก็ไม่ทรงถือโกรธต่อข้า บัดนี้ข้าจะถวายพรแก่พระองค์ ขอทรงเลือกอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาเถิด" พระราชาก็ตรัสว่า "เพราะเหตุที่เจ้ายินดีต่อข้า และข้าก็ยินดีในความมีน้ำใจของเจ้าเช่นเดียวกัน พรอันใดที่ข้าจะปรารถนาก็เป็นอันสมบูรณ์แล้ว ข้าเพียงแต่อยากจะขออะไรสักอย่างเป็นที่ระลึกระหว่างข้ากับเจ้า นั่นก็คือนิทานที่เจ้ายกปัญหามาถามข้าถึงยี่สิบสี่เรื่อง และคำตอบของข้าก็ให้ไปแล้วเช่นเดียวกัน แลครั้งที่ยี่สิบห้าคือวันนี้ถือเป็นบทสรุป แสดงอวสานของเรื่อง ขอให้นิทานชุดนี้จงมีเกียรติแพร่กำจายไปในโลกกว้าง
เวตาลก็สนองตอบว่า ขอจงสำเร็จ โอ ราชะ บัดนี้จงฟังเถิด ข้าจะกล่าวถึงคุณสมบัติที่ดีเด่นของนิทานชุดนี้ สร้อยนิทานอันร้อยรัดเข้าด้วยกันดังสร้อยมณีสายนี้ ประกอบด้วยยี่สิบสี่เรื่องเบื้องต้น แลมาถึงบทที่ยี่สิบห้า อันเป็นบทสรุปส่งท้าย นับเป็นปริโยสาน นิทานชุดนี้จงเป็นที่รู้จักกันในนามของเวตาลปัญจวิงศติ (นิทานยี่สิบห้าเรื่องของเวตาล) จงมีเกียรติยศบันลือไปในโลก และนำความเจริญมาสู่ผู้อ่านทุกคน ใครก็ตามที่อ่านหนังสือแม้แต่โศลกเดียว หรือเป็นผู้ฟังเขาอ่านก็เช่นเดียวกัน จักรอดจากคำสาปทั้งมวล บรรดาอมนุษย์ทั้งหลาย มียักษ์ เวตาล กุษมาณฑ์ แม่มด หมอผีและรากษส ตลอดจนสัตว์โลกประเภทเดียวกันนี้ จงสิ้นฤทธิ์เดชเมื่อได้ยินใครอ่านนิทาน อันศักดิ์สิทธิ์นี้
พระศิวะได้ฟังเรื่องของต่าง ๆ ของเวตาลจบก็กล่าวชื่นชมในองค์พระราชาตริวิเสนมาก ซึ่งพระศิวะได้สร้างจากอนุภาคโดยให้มาปราบอสูรคนร้ายต่าง ๆ เมื่อพระราชาตริวิกรมเสนได้เป็นจอมราชันแห่งวิทยาธรทั้งโลกและสวรรค์แล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่าย หันไปบำเพ็ญทางธรรมจนบรรลุความหลุดพ้น
ต่อมาได้มีนักบวชชื่อ ศานติศีล ได้นำผลไม้มาถวายทุกวันมิได้ขาด ซึ่งพระราชาแปลกใจ และได้ไปพบในคืนหนึ่งตามนัด ได้ถามถึงเหตุผลและเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ โยคีศานติศีลจอมเจ้าเล่ห์ได้ขอให้พระราชาตริวิกรมเสนนำเวตาลมาให้ตนเพื่อจะประกอบมหายัญพิธี
พระราชาผู้มีสัจจะเป็นมั่น ได้ไปนำเวตาลมาให้โยคีเจ้าเล่ห์ แต่เวตาลก็พยายามหน่วงเหนี่ยวด้วยการเล่านิทานทั้งสิ้น ๒๔ เรื่องด้วยกัน ซึ่งแต่ละเรื่องจะมีคำถามให้พระราชาตอบ โดยมีข้อแม้ว่า หากพระราชาทราบคำตอบแล้วไม่ตอบ ศีรษะของพระราชาจะต้องหลุดจากบ่า และหากพระราชาเอ่ยปากพูดเวตาลก็จะกลับไปสู่ที่เดิม
และก็เป็นดังนั้นทุกครั้ง ที่พระราชาตอบคำถามของเวตาล เวตาลก็จะหายกลับไปสู่ต้นไม้ที่สิงที่เดิม พระราชาก็จะเสด็จกลับไปเอาตัวเวตาลทุกครั้งไป จนเรื่องสุดท้ายพระราชาไม่ทราบคำตอบ ก็ทรงเงียบไม่พูด เวตาลพอใจในตัวพระราชามาก เพราะเป็นพระราชาผู้ไม่ย่อท้อ ผู้มีความกล้าหาญ ทำให้เวตาลบอกความจริงในความคิดของโยคีเจ้าเล่ห์ ว่าโยคีนั้นแท้จริงแล้ว ต้องการตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร โดยจะเอาพระราชาเป็นเครื่องสังเวยในการทำพิธี และอธิบายถึงวิธีกำจัดโยคีเจ้าเล่ห์
เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงโยคีตามที่นัดหมายไว้ ก็ปรากฎว่าโยคีได้เตรียมการทำอย่างที่เวตาลได้บอกกับพระราชาไว้ พระราชาจึงแก้โดยทำตามที่เวตาลได้อธิบายให้พระราชาฟัง พระราชาจึงได้ตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร และเวตาลได้บอกกับพระราชาตริวิกรมเสนว่า "ตำแหน่งนี้ได้มาเพราะความดีของพระองค์ ตำแหน่งนี้จะคอยพระองค์อยู่หลังจากที่ทรงเสวยสุขในโลกมนุษย์จนสิ้นอายุขัยแล้ว ข้าขอโทษในกาลที่แล้วมาในการที่ยั่วยวนประสาทพระองค์ แต่ก็ไม่ทรงถือโกรธต่อข้า บัดนี้ข้าจะถวายพรแก่พระองค์ ขอทรงเลือกอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาเถิด" พระราชาก็ตรัสว่า "เพราะเหตุที่เจ้ายินดีต่อข้า และข้าก็ยินดีในความมีน้ำใจของเจ้าเช่นเดียวกัน พรอันใดที่ข้าจะปรารถนาก็เป็นอันสมบูรณ์แล้ว ข้าเพียงแต่อยากจะขออะไรสักอย่างเป็นที่ระลึกระหว่างข้ากับเจ้า นั่นก็คือนิทานที่เจ้ายกปัญหามาถามข้าถึงยี่สิบสี่เรื่อง และคำตอบของข้าก็ให้ไปแล้วเช่นเดียวกัน แลครั้งที่ยี่สิบห้าคือวันนี้ถือเป็นบทสรุป แสดงอวสานของเรื่อง ขอให้นิทานชุดนี้จงมีเกียรติแพร่กำจายไปในโลกกว้าง
เวตาลก็สนองตอบว่า ขอจงสำเร็จ โอ ราชะ บัดนี้จงฟังเถิด ข้าจะกล่าวถึงคุณสมบัติที่ดีเด่นของนิทานชุดนี้ สร้อยนิทานอันร้อยรัดเข้าด้วยกันดังสร้อยมณีสายนี้ ประกอบด้วยยี่สิบสี่เรื่องเบื้องต้น แลมาถึงบทที่ยี่สิบห้า อันเป็นบทสรุปส่งท้าย นับเป็นปริโยสาน นิทานชุดนี้จงเป็นที่รู้จักกันในนามของเวตาลปัญจวิงศติ (นิทานยี่สิบห้าเรื่องของเวตาล) จงมีเกียรติยศบันลือไปในโลก และนำความเจริญมาสู่ผู้อ่านทุกคน ใครก็ตามที่อ่านหนังสือแม้แต่โศลกเดียว หรือเป็นผู้ฟังเขาอ่านก็เช่นเดียวกัน จักรอดจากคำสาปทั้งมวล บรรดาอมนุษย์ทั้งหลาย มียักษ์ เวตาล กุษมาณฑ์ แม่มด หมอผีและรากษส ตลอดจนสัตว์โลกประเภทเดียวกันนี้ จงสิ้นฤทธิ์เดชเมื่อได้ยินใครอ่านนิทาน อันศักดิ์สิทธิ์นี้
พระศิวะได้ฟังเรื่องของต่าง ๆ ของเวตาลจบก็กล่าวชื่นชมในองค์พระราชาตริวิเสนมาก ซึ่งพระศิวะได้สร้างจากอนุภาคโดยให้มาปราบอสูรคนร้ายต่าง ๆ เมื่อพระราชาตริวิกรมเสนได้เป็นจอมราชันแห่งวิทยาธรทั้งโลกและสวรรค์แล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่าย หันไปบำเพ็ญทางธรรมจนบรรลุความหลุดพ้น
เรื่องย่อ วรรณคดี สรรพสิทธิ์ชาดก เจ้าหญิงนกกระจาบ
ในกาลอันล่วงมานาน ( ครั้งมนุษย์ สัตว์และต้นไม้ยังพูดจาเข้าใจกัน) ยังมีนกกระจาบผัวเมียทำรังอยู่ในป่าอ้อแห่งหนึ่ง ( ก็เห็นจะเป็นป่าแถบหิมพานต์ ) นกกระจาบเมียกำลังมีลูกอ่อน เพิ่งฟักออกจากไข่ จึงต้องเฝ้ารังเลี้ยงดูลูก พ่อนกก็เป็นฝ่ายออกหาอาหาร เช้าวันหนึ่งพ่อนกออกจากรัง
บินเที่ยวหาอาหาร ไปถึงสระแห่งหนึ่งมีดอกบัวกำลังดอกบานสพรั้ง ดอกหนึ่งใหญ่โตมาก เกสรหอมอบอวล พ่อนกก็ร่อนลงจิกกิน และคลุกเคล้าเกสรหวังจะพาไปฝากแม่นก มัวหลงเพลิดเพลินอยู่กับรสบัวจนแดดกล้า บัวก็หุบกลีบหุ้มพ่อนกไว้ จะบินออกไปมิได้ ก็จำใจซุกตัวอยู่ในดอกบัวนั้น
วันนั้นบังเกิดไฟไหม้ป่า ลุกลามไปจนถึงป่าอ้อ แม่นกกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง ตั้งตารอพ่อนกก็ไม่เห็นกลับมา ไฟก็ลุกลามใกล้เข้าไปทุกที แม่นกตกใจและร้องใจเป็นห่วงลูก พยายามจะเอาลูกบินหนีไฟ ก็ไม่สำเร็จ จึงได้แต่บินเข้าบินออกจากรัง วุ่นวายใจบนบานเจ้าป่าเจ้าเขาให้ช่วยก็ไม่เป็นผล ไฟก็ไหม้ชิดเข้ามาจนถึงรัง เฟารังไหม้วอดไปพร้อมกับลูกนก แม่นกเศร้าโศกมาก หนีไฟไปเกาะกิ่งไม้ร่ำให้ แค้นใจว่าพ่อนกไปหลงอะไรอยู่จนพลบค่ำสิ้นแสงแดด
พอพระจันทร์ขึ้น น้ำค้างพรมต้องดอกบัว ดอกบัวก็ขยายกลีบรับแสงจันทร์ พ่อนกกำลังร้อนใจเป็นห่วงรัง ก็คาบเอาเกสรดอกบัว รีบบินข้ามป่าดง มาถึงที่อยู่ เห็นรังถูกไฟไหม้วอดวายพร้อมกับลูก เที่ยวบินวนเวียนเรยีกหาแม่นก ฝ่ายนางนกได้ยินเสียงผัวก็บินมาหาด้วยสีหน้าเง้างอด ต่อว่าพ่อนกว่าไปเที่ยวสนุกอบกลิ่นที่ไหนมา ลืมรังลืมเมีย ปล่อยให้ไฟคลอกรัง ลูกทั้งคู่ก็ตาย
พ่อนกว่าไม่ใช่อย่างนั้น ที่หายไป เพราะไปติดอยู่ในดอกบัวพูดชี้แจงอย่างไร แม่นกก็ไม่ยอมเชื่อ ผินหลังตัดพ้อว่า พ่อนกยิ่งปลอบยิ่งโกรธ ที่สุดก็ว่า ไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป พนมปีกอธิษฐานว่า จะขอตายตามลูก อันพวกชายนั้นสันดานสัปปลับนัก ไม่ขอคบค้าสมาคม หากได้เกิดใหม่จะไม่ขอพูดกับขายใดเป็นเด็ดขาด พ่อนกได้ฟังคำแม่นกว่าดังนั้น ก็ตั้งสัจอธิษฐานว่า เมียข้านี้ตายไป ไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหน จะขอตามไปเกิดด้วยแล้วให้ได้พบกัน แม้นางจะไม่ยอมพูดกับชายใด ก็ขอให้ได้พูดกับเรา อย่าได้คลาดกันเลย
นางอธิษฐานแล้วก็บินเข้ากองไฟ พ่อนกก็บินตามเข้าไปทั้งคู่ดับสังขารไปตามเวรกรรม อำนาจผลบุญที่นกทั้งสองได้กระทำแล้ว ครั้นดับชีพแล้วก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
พ่อนกกลับชาติมาเกิดเป็นลูกของโกญทัญญะและเขมา ( เข-มา) เศรษฐีบ้านจันตคามนครพาราณสี พ่อแม่ให้ชื่อว่า สรรพสิทธิ์ เพราะเป็นเด็กรูปงาม สติปัญญาเฉียบแหลม ครั้นเจริญวัยได้ ๑๕ ปี สรรพสิทธิ์ก็ลาบิดาไปเล่าเรียนกับอาจารย์เมืองตักศิลา บิดาจัดเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน รวมพันเอ็ดคนให้เป็นเพื่อนเดินทางไปด้วย สรรพสิทธิ์พร้อมเพื่อนและพี่เลี้ยงคู่ใจ
ไปถึงกรุงตักศิลาก็เข้าฝากตัวกับทิศาปาโมกข์ผู้มีชื่อเสียง เล่าเรียนวิชาต่าง ๆ สำเร็จโดยเร็ว สรรพสิทธิ์กับพี่เลี้ยงสำเร็จวิชาพิเศษ คือวิชาถอดดองใจ ครั้นเล่าเรียนเจนจบแล้ว เพื่อนพันคนลาพระอาจารย์กลับบ้านเมือง ส่วนสรรพสิทธิ์กับพี่เลี้ยงยังคงปฏิบัติอาจารย์อยู่ต่อไป
นางนกกลับชาติมาเกิดเป็นบุตรีท้าวพรหมทัต เมืองพาราณสีเมืองเดียวกับที่สรรพสิทธิ์เกิด พระธิดาองค์นี้พระโฉมงดงามยิ่งนัก พระบิดาประทานนามว่าสุวรรณเกสร แต่นางมีลักษณะประหลาดอย่างหนึ่ง คือตั้งแต่เกิดจนอายุได้สิบห้าไม่พูดไม่กับชายใดเลย แม้พระบิดานางก็ไม่พูดด้วย
พระบิดาแปลกพระทัยยิ่งนัก จึงให้นางกุสุมาราชเทวี ถามว่า โกรธเคืองพระองค์ด้วยเรื่องอะไรจึงไม่ยอมพูดด้วย นางสุวรรณเกสรก็ทูลว่า ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ที่เป็นดังนี้เพราะได้อธิษฐานจิตไว้แน่วแน่ ว่าจะไม่พูดกับชายใด พระบิดาได้ฟังสาเหตุก็ทรงงงงวยเต็มที แต่ก็ได้สร้างปราสาทปลอดผู้ชายให้พระราชธิดาประทับ
จนนางเจริญวัยได้สิบห้าเป็นสาวเป็นแส้แล้วแต่ไม่ยอมพูดกับหนุ่ม มันผิดธรรมดาโลกีย์วิสัยอย่างชัด ๆ ต้องมีเหตุลึกลับสักอย่าง ดำริแล้วก็ให้แต่งสารไปถึงเจ้านครต่าง ๆ ว่าพระองค์จะทำการสยุมพรพระธิดา ขอให้ส่งเจ้าชายมาให้พระธิดาเลือกโดยให้ชวนพระธิดาพูดคุยด้วย พระธิดาเจรจาเสวนากับพระกุมารองค์ใด พระองค์ก็จะจัดเสกสมรส และยกพระนครให้ครอบครอง
พระกุมารวัยรุ่นเหล่านั้น ผลัดเปลี่ยนกับเข้าไปชวนนางสุวรรณเกสรให้พูดด้วย แต่ไม่องค์ใดทำสำเร็จ ท้าวพรหมทัตก็ลดศักดิ์ของพวกผู้ชายลงมาถึงชั้นมนตรี ชั้นเศรษฐีคหบดี ก็ไม่มีชายชวนให้พระธิดาพูดด้วยได้ ในที่สุดพระอง์ก็ประกาศว่า ชายใดก็ตามจะเป็นคนยากคนจนเข็ญใจก็ไม่ว่า ถ้าสามารถชวนให้พระธิดาพูดด้วยก็จะยกนางให้พร้อมราชสมบัติ
ฝ่ายสรรพสิทธิ์อยู่ปฏิบัติพระอาจารย์ต่อมาอีกระยะหนึ่ง ก็ลาพระอาจารย์เดินทางกลับเมืองพร้อมพี่เลี้ยง มาถึงบ้านก็เล่าเรื่องการไปเรียนวิชาให้บิดาฟัง ก็พอดีวันนั้นอำมาตย์คนหนึ่งของท้าวพรหมทัตมาเยี่ยมเศรษฐี ได้เห็นหน้าตาสรรพสิทธิ์ก็ชอบใจ ครั้นทราบว่าเป็นบุตรเศรษฐี อำมาตย์นั้นก็เล่าเรื่องนางสุวรรณเกสรให้เศรษฐีฟัง ทั้งขอให้สรรพสิทธิ์เข้าไปอาสา แล้าก็ลาเศรษฐีกลับมาทูลเรื่องราวทั้งหลายให้ท้าวพรหมทัตทรงทราบ
ท้าวพรหมทัตก็ให้พาสรรพสิทธิ์มายังพระราชวัง จัดการให้สรรพสิทธิ์ได้เข้าเฝ้ากับพระธิดา
ครั้นได้เวลาพลบค่ำ สรรพสิทธิ์ก็ชวนพี่เลี้ยงคนสนิท ซึ่งไปไหนไปด้วยกันตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ๆ เข้าไป ณ ปราสาทพระธิดา สรรพสิทธิ์ร่ายมนต์ถอดหัวใจพี่เลี้ยงใส่ไว้กับพระตูพระทวารห้องที่ประทับของนางสวรรณเกสร
ครั้งได้เวลายามต้น เจ้าสรรพสิทธิ์ก็พูดกับประตูพระทวารว่า ประตูเอ๋ย ข้ารับอาสาพระราชามาพูดกับพระธิดา แต่รออยู่ช้านานนางก็ยังไม่ออกมาเจรจาด้วย เรามาสนทนากันก่อนเป็นไร พี่ประตูมีเรื่องอะไร เล่าสู่กันฟังบ้างเถิด
ประตูก็ตอบว่า ข้าเป็นเพียงประตู ให้เขาเปิดเข้าเปิดออก บทกลอนอันใดก็ไม่รู้ จนใจจริง ๆ ไม่รู้จะเล่าอะไรให้ท่านฟัง
นางสุวรรณเกสร ประทับอยู่ในห้องได้ยินเสียงประตูพูดได้ ก็นึกพิศวงใจยิ่งนัก เกิดอยากรู้เรื่องต่อไป จึงแอบนั่งฟังอยู่ในม่านก็ได้ยินสรรพสิทธิ์พูดกับประตูว่า เมื่อพี่ประตูไม่มีอะไรจะเล่า ข้าก็จะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่อง ฟังให้ดีนะ
นิทานเจ้าสรรพสิทธิ์ ยังมีชายสี่คนเป็นเกลอรักใคร่กัน คนหนึ่งมีวิชายิงธนู คนหนึ่งรู้ประดาน้ำ คนหนึ่งรู้วิชาชุบคนตายให้ฟื้นคืนชีวิต คนหนึ่งเก่งทางหมอดู วันหนึ่งสี่เกลอชวนกันไปเที่ยว ไปนั่งพักร้อนอยู่ที่ชายหาดแห่งหนึ่ง เกลอคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า วันนี้เราจะมีลาภบ้างหรือไม่
เกลอผู้เชี่ยวชาญทางหมอดูจับยามดูฤกษ์ผานาทีแล้วก็ว่า วันนี้จะมีลาภใหญ่ นกอินทรีใหญ่จะนำมา พูดยังไม่ทันขาดคำ นกอินทรีตัวใหญ่บินพะเยิบ ๆ ใกล้เข้ามา
มีนารีนางหนึ่งอยู่ในอุ้งเล็บ เกลอผู้ชำนาญธนูก็ยกธนูปล่อยลูกธนูตรงไปที่นก พญานกอินทรีตกใจก็ปล่อยนารีนั้นตกลงในทะเล แล้วบินหนีไป
เกลอที่เก่งประดาน้ำกระโจนว่ายน้ำไปพานางนั้นมาได้ แต่นางนั้นได้สิ้นใจเสียก่อนแล้ว และเกลอคนที่มีวิชาชุบคนตาย ก็รายมนต์ชุบนางให้ฟื้นคืนชีพ ที่นี้เกิดปัญหาว่า เกลอคนใดควรจะได้นางผู้เป็นลาภใหญ่นี้เป็นเจ้าของ
สรรพสิทธิ์ถามประตูว่า เกลอคนใดควรจะได้นาง ประตูซึ่งมีหัวใจของพี่เลี้ยงสิงอยู่ตอบว่า คนที่สมควรได้นางก็คนที่เป็นหมอดูเพราะคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าจะมีนกอินทรีพานางบินมา หมอดูรู้ก่อนจึงควรได้นาง
นางสุวรรณเกสรเห็นว่าประตูตัดสินผิด อดไม่ได้ จึงพูดกับประตูว่า ข้าอยู่ที่นี้มานานไม่เคยได้ยินเจ้าพูดเลย แต่พอได้ยินเจ้าพูดก็รู้ว่าเจ้าโง่เต็มที ตัดสินผิด ๆ พลาด ๆ คนที่ควรจะได้นางนั้นก็คือคนประดาน้ำ เขาได้ถูกเนื้อต้องตัวนางก่อนผู้อื่น ก็เท่ากับว่าเขาได้นางนั้นแล้ว ที่เจ้าตัดสินนั้นผิดไปถนัด
พวกชาวสนมกำนัลและอำมาตย์ที่เฝ่าคอยดูเหตุการณ์ได้ยินนางสุวรรณเกสรพูดกับประตู เข้าใจว่าพูดกับเจ้าสรรพสิทธิ์ ก็ส่งสัญญานให้หมู่นักดนตรีพร้อมใจกันประโคมดนตรี ได้ยินไปถึงโสตท้าวพรหมทัต พระองค์ทรงพอพระทัย ว่าพ่อหนุ่มรูปงามคนนี้ น่าจะเป็นคู่สู่คู่สมกันมาแต่ชาติปางก่อนแน่ๆ
ครั้นถึงยามสองฆ้องย่ำบอกยาม พนักงานก็นำสรรพสิทธิ์เข้าไปถึงชั้นชวาลาใกล้พระแท่นบรรทม เจ้าสรรพสิทธิ์พี่ถอดดวงใจพี่เลี้ยง ออกจากบานพระทวารไปใส่ไว้ที่ดวงชวาลา นั่งเงียบรออยู่นาน ครั้นเห็นนางสุวรรณสุเกสรเฉยอยู่ สรรพสิทธิ์ก็พูดกับดวงชวาลาว่า
ข้านั่งอยู่เอกา หาเพื่อนเจรจามิได้ เหงาใจนัก ชวาลาเลยมีนิทานอันใด เมตตาเล่าให้ฟังแก้เหงาสักเรื่องเถิด
ตะเกียงชวาลาตอบว่า ข้าเป็นแต่ดวงไฟให้ความสว่าง จะเอานิทานที่ไหนมาเล่า หากท่านมีจงเล่าไปเถิด ข้าจะฟัง
นางสุวรรณเกสรได้ยินดวงชวาลาพูดก็ยิ่งประหลาดใจ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ตะเกียงพูดได้ จึงสงบใจนิ่งฟังอยู่ เจ้าสรรพสิทธิ์เล่านิทานให้ชวาลาฟัง ( ที่จริงก็ตั้งใจจะให้นางสุวรรณเกสรฟังนั้นเอง )
กาลครั้งหนึ่งมีช่างฝีมือวิเศษอยู่สี่คน คนหนึ่งเป็นช่างแกะสลักไม้ คนหนึ่งมีวิชาชุบชีวิต คนหนึ่งเป็นช่างเขียน คนหนึ่งเป็นช่างแต่งตัวไม้ให้เป็นรูปต่าง ๆ ได้อย่างใจ ช่างทั้งสี่เป็นเพื่อนกัน ได้รับตัวไม้มาทำบานประตูการเปรียญหลังหนึ่ง ช่างแต่งตัวไม้นำแผ่นมาตัด ไสกบ และแต่งเป็นบานประตู เรียบร้อยแล้วก็ส่งให้ช่างเขียนลงลวดลายช่างเขียนก็เขียนเป็รูปนางอัปสรงามจับตา
แล้วก็ส่งให้ช่างสลัก ช่างสลักก็สลักตามแบบเขียนจนได้เป็นตัวตนนางอัปสร ดูราวกับมีชีวิต แล้วก็ส่งให้เพื่อนผู้มนต์ชุบชีวิต บัดดลนางอัปสรไม้สลักก็กลับกลายเป็นนารีงามเลิศล้ำ แต่ร่างยังเปลือยเปล่า ( ยิ่งน่าชม ) จึงช่วยกันเอาผ้านุ่งห่มมาให้นางแต่ง ทีนี้เกิดเรื่อง เพื่อนทั้งสี่ต่างอยากได้นางเป็นของตน โต้เถียงไม่ตกลงกัน เออ ถ้าเพื่อนตะเกียงเป็นผู้ตัดสินความ เพื่อนตะเกียงเห็นว่านางควรจะได้กับเพื่อนคนใด
ตะเกียงก็ตอบอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจว่า เพื่อนคนที่นำผ้ามาให้นางปิดบังร่างกายควรจะได้นางเป็นภรรยา
นางสุวรรณเกสรนั่งฟังอยู่ข้างในอดรนทนไม่ได้ จึงพูดออกไปว่า นี่แน่ชวาลา ตั้งแต่ข้าเกิดมายังไม่เคยได้ยินชวาลาพูดได้ แต่ข้อความที่เจ้าพูดนี้ผิดธรรมเนียม ไม่สมเหตุสมผล ที่ถูกนั้นนางควรจะได้กับช่างแกะสลัก เพราะได้ลูบคลำทำรูปนางทั่วทั้งร่างกาย เพื่อนคนอื่นไม่เคยมีผู้ใดได้ต้องกายนางก่อนเลย
ยังมีนิทานอีกสองเรื่อง แต่จะนำมาเล่าก็เห็นยืดยาวนัก ขอตัดตอนว่าท้าวพรหมทัตเห็นว่า พระธิดาได้พูดจากับเจ้าสรรพสิทธิ์ก็พอพระทัย โปรดให้จัดการอภิเษก แม้นางสุวรรณเกสรจะแย้งว่า นางไม่ได้เจรจากับเจ้าสรรพสิทธิ์ พูดกับประตูและชวาลาต่างหาก พระบิดาก้ไม่ยอมเชื่อ คิดว่าพระธิดาแกล้งบ่ายเบี่ยงเพราะความขวยเขินพระทัย ในที่สุดนางสุวรรณเกสรก็ได้ครองกับเจ้าสรรพสิทธิ์ทรงเพลิดเพลินสำราญพระทัย ยิ่งกว่าตอนที่ไม่ยอมพูดกับผู้ชายเป็นอย่างมาก
สรรพสิทธิ์เสวยสุขารมณ์กับนางสุวรรณเกสร จนชักเบื่อพระราชวัง จึงขอลาพระชายาออกประพาสไพร กับพี่เลี้ยงคู่ชีวิตไว้วางพระทัย
เจ้าสรรพสิทธิ์เสด็จออกจากวัง มีพี่เลี้ยงตามเสด็จเพียงคนเดียวทั้งคู่บ่ายหน้าเข้าป่าชื่นชมกับความวิเวกเปล่าเปลี่ยวของราวไพรและนกหกสิงห์สาราสัตว์ เป็นที่เพลิดเพลินพระทัยจนมาถึงที่แห่งหนึ่งพบกวางผู้ตัวหนึ่งนอนตายอยู่ เ จ้าสรรพสิทธิ์นึกถึงมนต์ถอดดวงใจขึ้นมาได้ไม่ได้ใช้มานาน จะหย่อนฤทธิ์เสียแล้ว หรืออย่างไร จึงบอกกับพี่เลี้ยงว่า จะถอดดวงใจของพระองค์ใส่ให้กวาง ให้พี่เลี้ยงดูแลร่างกายของพระองค์ไว้ พี่เลี้ยงก็รับคำ
เจ้าสรรพสิทธิ์ก็ร่ายมหามนต์ถอดดวงใจใส่กวางตายตัวนั้นใส่กวางตายตัวนั้น อำนาจมหามนต์ กวางนั้นกลับพื้นคืนชีพ ลุกขึ้นวิ่งโจนเข้าป่าไปหาพวกกวางด้วยกัน เจ้าสรรพสิทธิ์ ก็ทรงพระสำราญอยู่กับเหล่านางกวางจนตะวันชาย
ฝ่ายพี่เลี้ยงเฝ้าร่างเจ้าสรรพสิทธิ์อยู่เกิดความคิดประหลาดว่าเรานี้ก็อาจเป็นกษัตริย์เป็นเจ้าบ้านครองเมือง แล้วได้เสวยสุขารมณ์อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน คิดไปคิดมาก็เห็นทะลุปรุโปรง จำจะถอดดวงใจของเราใส่ในกายของเจ้าสรรพสิทธิ์แล้วเข้าไปในวัง นางสุวรรณเกสรก็คงไม่สงสัย ส่วนร่างของเราก็จะเผาเสีย เพื่อกลบเกลือนร่องรอยให้หมดสิ้น ทีนี้เราก็จะได้นางไว้ครอบครองเสพสุขในราชสมบัติ
ความชั่วทำง่ายคิดแล้วก็ลงมือปฏิบัติทันที ถอดหัวใจตัวเข้าใส่ร่างเจ้าสรรพสิทธิ์ เผาร่างตัวเองเสร็จสรรพแล้ว ก็เดินทางเข้าวังขึ้นนั่งบนพระแท่นที่เจ้าสรรพสิทธิ์เคยประทับ พวกสาวสวรรค์กำนัลในก็เข้าปรนนิบัติอย่างเคย ด้วยเข้าใจว่าเป็นเจ้าสรรพสิทธิ์
ส่วนนางสุวรรณเกสรนั้นเป็นหญิงเฉลี่ยวฉลาด มีปัญญารอบคอบ ครั้นเข้ามาเฝ้าเจ้าสรรพสิทธิ์ปลอมก็นึกฉงนใจ ว่าเหตุใดเจ้าพี่จึงมีอาการผิดเคยกริยาพาทีก็ไม่สุภาพนุ่มนวนอย่างแต่ก่อน ก็ถามว่า พระพี่เสด็จออกเที่ยวป่าสองคน เหตุใดจึงกลับมาแต่ผู้เดียว พี่เลี้ยงคู่ใจไปอยู่เสียที่ไหน พี่เลี้ยงในร่างของเจ้าสรรพสิทธิ์ตอบว่า พี่ฆ่ามันเสียแล้ว เกรงว่ามันจะคิดแย่งราชสมบัติ เพราะมันมีวิชาความรู้เท่า ๆ กับพี่ จะไว้ชีวิตมันไม่ได้
พระนางสุวรรณเกสรได้ฟัง ก็นึกเห็นเรื่องราวตลอดว่าดีว่าร้ายพี่เลี้ยงคู่พระทัยคนนี้คิดกลทำร้ายพระภัสดาเป็นแน่แล้ว พระนางก็แสแสร้งพูดว่า พระพี่ทำดังนี้ดีแล้ว คนทรยศจะไว้ชีวิตนั้นมิควร พี่เลี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ตายใจนึกว่านางสุวรรณเกสรคงเชื่อคำของตน
พอค่ำ พี่เลี้ยงจอมทรยศ ก็ย่างกรายเข้าไปยังห้องพระบรรทมหวังเชยชมยอดหญิงผู้เป็นชายาเจ้านายของตน แต่อำนาจความซื่อสัตว์ของพระนาง พอพี่เลี้ยงเข้าไปใกล้ก็รู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจยิ่งนัก พยายามฝืนใจจะร่วมอภิรมณ์กับนาง ก็ไม่สมหวัง พระนางสุวรรเกสรก็ว่า วันนี้ประชวนเชิญไปหาความสำราญกับพระสนมกำนัลอื่นเถิด
ฝ่ายเจ้าสรรพสิทธิ์เที่ยวชมนางกวางเพลิน อยู่จนเวลาบ่ายคล้อยก็กลับมายังที่ที่ฝากร่างไว้กับพี่เลี้ยง เห็นพี่เลี้ยงหายไป เห็นแต่กองไฟ ก็นึกได้ทันที ( เพราะมีปัญญารุ่งโรจน์) ว่าพี่เลี้ยงได้ถอดดวงใจใส่ในร่างของพระองค์ บัดนี้คงเข้าไปวัง หลอกลวงคนทั้งหลายนึกแค้นพระทัยนัก เสียรู้เพราะรัก มินึกถึงคำโบราณที่ว่า
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน และคำเตือนที่ว่า ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก อย่าพึงไว้วางใจ
เกิดความโศกเศร้าปั่นป่วนพระทัยจนสิ้นสติสลบไป พอค่ำน้ำค้างพรมก็กลับรู้สึกพระองค์ ได้พระสติดำริว่า ไม่ควรจำนนต่อเคราะห์กรรม เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องดินแก้ไขความร้ายต่าง ๆ ให้พ้นไป
ก็พาร้างกวางดั้นด้นมาจนถึงไร่ตายาย ตายายชาวไร่สองคนนี้เลี้ยงนกแก้วไว้ตัวหนึ่ง คืนวันนั้นนกแก้วมีอันเป็นล้มตายลง ตายายก็เอาศพนกแก้วไปทิ้งนอกรั่วบ้าน พอดีใกล้รุ่ง กวางสรรพสิทธิ์ด้นดั้นป่ามาพบเข้า เจ้าสรรพสิทธิ์ก็ถอดหัวใจออกจากกวางใส่ให้กับนกแก้ว
นกแก้วกลับคืนชีพเป็นนกแก้วสรรพสิทธิ์รีบโผผินมายังพระราชวัง บินไปจับอยู่ที่พระแกลห้องของพระนางสุวรรณเกสร แล้วพูดว่า ข้าบินมาไกล หิวโหยยิ่งนักขอทานข้าวกินสักหน่อยเถิด พระเทวีแปลกพระทัย ที่นกพูดได้ ครั้นซักถามสองสามคำก็รู้ว่า นี่คือพระภัสดาในร่างนกแก้ว ทั้งรู้เรื่องที่เป็นมาอย่างโปร่งใส
ก็วางแผนซ้อนกลเอานกแก้วซ่อนไว้ในปราสาทแล้วเสเด็จไปหาพี่เลี้ยงพูดว่าตั้งแต่ได้มาเป็นพระภัสดา ก็รู้อยู่ว่ามีฤทธิ์มาก แต่ยังไม่เคยเห็นว่ามีฤทธิ์อย่างไร เจ้าสรรพสิทธิ์ปลอมก็ว่า จะแสดงฤทธิ์ให้ได้ชม ว่าแล้วก็สั่งให้อำมาตย์ไปหาแพะตายมาตัวหนึ่ง ว่าจะแสดงฤทธิ์ชุบแพะตายให้กลับมีชีวิต
พวกอำมาตย์จัดทำพลับพลาหน้าพระลาน ให้เจ้าสรรพสิทธิ์ตัวปลอมแสดงฤทธิ์ อวดศักดาครั้นได้เวลาพี่เลี้ยงกับพระนางสุวรรณเกสร พร้อมสนมกำนัล ข้าราชบิพาร ก็มายังพลับพลา นางสุวรรณเกสรนั้นเอานกแก้วใส่หีบให้นางพระกำนัลถือตามไป
ได้เวลาลั้นฆ้อง พี่เลี้ยงก็ร่ายมหามนต์ถอดดวงใจ ใส่ในร่างแพะ แพะนั้นก็กลับคืนชีพ ลุกขึ้นโลดเต้น ปวงประชาก็ให่ร้องชมเชย ขณะนั้นนางสุวรรณเกสร ก็เปิดหีบนกแก้วให้เจ้าสรรพสิทธิ์ร่ายมนต์ถ่ายดวงใจ กลับเข้าร่างของตน ดวงใจพี่เลี้ยงไปติดอยู่กับแพะ
เจ้าสรรพสิทธิ์ก็รับสั่งให้พวกเสนาจับแพะมาถวายโดยเร็ว โปรดให้ฆ่าเสียว่าเป็นแพะอุบาทว์ ( ไม่ใช่แพะรับบาป ) คนทุจริตต้องได้รับโทษแห่งความทุจริตคิดมิชอบของตนอย่างแน่นอน พี่เลี้ยงทรยศก็ถึงกาลมรณาโดยชาวบ้านมิได้รู้เลศนัย เจ้าสรรพสิทธิ์หมดเคราะกรรมได้ครองราชสมบัติจนสิ้นพระชนม์
credit : http://www.boysapolclub.com/Forums/index.php?topic=33.0
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง "พระทิณวงศ์"
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง "พระทิณวงศ์"
พระทิณวงศ์เป็นโอรสของท้าวพัทวงศ์ และนางสุวรรณประไภย แห่งเมืองสุวรรณรัตนา เหตุที่พระโอรสมีพระนามเช่นนี้ก็เพราะก่อนมีพระประสูติกาล นางสุวรรณประไภยเกิดสุบินนิมิตว่าได้ดวงอาทิตย์มาแนบกับทรวง จำเนียรกาลผ่านไปพระทิณวงศ์เจริญพระชันษาเป็นเจ้าชายน้อยรูปงาม จนพระชนทม์ได้ 12 พรรษาจึงลาพระบิดาและมารดาไปเล่าเรียนศิลปศาสตร์ ระหว่างที่พระทิณวงศ์เดินดั้นด้นตัดเขาลำเนาไพรอยู่นั้น พระอินทร์ได้เมตตาพาไปเรียนวิชากับฤาษีผู้ทรงฤทธิ์
กล่าวถึงเมืองพรมสาลี ท้าวอภัยนุสินและนางสุรัศวดีมีพระธิดานามว่าทิพย์มณฑา ในวันที่นางประสูติมีกลิ่นหอมฟุ้งขจายไปทั่วเมือง โหรหลวงทำนายว่าพระธิดาจะพลัดพรากจากบ้านเมือง และตายพร้อมกับคนรักในที่สุด
ฝ่ายพระทิณวงศ์เรียนวิชาจนสำเร็จและได้ม้านิลรัตน์ซึ่งเป็นม้าวิเศษ พระฤาษีเห็นว่าถึงกาลอันสมควรที่พระทิณวงศ์จะมีคู่ครองเมื่อเพ่งญาณแล้วจึงให้พระทิณวงศ์มุ่งหน้าไปยังเมืองพรมสาลี พระทิณวงศ์ปลอมเป็นชายพิการแอบในอุทยานเพื่อทดสอบใจ นางทิพย์มณฑาประพาสอุทยานได้พบกับชายพิการแล้วสนทนาด้วย พระขนิษฐาอีก 7 คนที่ตามมาด้วยริษยานางทิพย์มณฑาเป็นทุนเดิมจึงนำความไปเท็ดทูลท้าวอภัยนุสิน ท้าวอภัยนุสินกริ้วจึงขับนางทิพย์มณฑาไปอยู่กระท่อมปลายอุทยานกับคนพิการ จนเมื่อพระทิณวงศ์ได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์นั่นเองทำให้กลับคืนพระราชวังได้ในที่สุด
แต่เหตุวุ่นวายก็เกิดขึ้นอีกจนได้ เมื่อขนิษฐาทั้ง 7 คนยุยงให้นางทิพย์มณฑาลองใจพระทิณวงศ์ว่ารักจริงหรือไม่ให้คั่วทรายสาดหน้า นางทิพย์มณฑาทำตามแต่พระทิณวงศ์ให้อภัย นางทั้ง 7 ยังไม่วายยุยงซ้ำอีกให้นางทิพย์มณฑาลองใช้มีดสับหน้า คราวนี้พระทิณวงศ์โกรธขี่ม้าหนีไปเพราะตนถูกทำลายโฉมให้อับอายผู้คน นางทิพย์มณฑาวิ่งตามไปง้องอนแต่ไม่เป็นผล ในครั้งนั้นเองถึงคราวสิ้นสุดอายุของนาง นางทิพย์มณฑาพบปี่ที่พระวิษณุกรรมมาบรรดาลไว้ นางหยิบขึ้นมาเป่าเป็นเสียงไพเราะ แต่ทำให้นางใช้ลมมากจนแทบขาดใจ ประกอบกับความเสียใจนางจึงเป่าซ้ำจนขาดใจตาย พระทิณวงศ์ย้อนกลับมาเห็นร่างไร้ลมหายใจของคู่รักก็เกิดความโสมนัสหนักหนาจนขาดใจตายไปอีกคน ร้อนถึงพระอินทร์ต้องมาชุบชีวิตให้ฟื้นคืนแล้วทั้งสองก็เดินทางกลับเมืองสุวรรณรัตนาที่จากมาหลายปี
กล่าวถึงนางกายวัน เป็นคนที่พระบิดาของทิณวงศ์ได้หมั้นหมายเตรียมไว้ให้ เมื่อพบนางทิพย์มณฑาก็คิดกำจัดให้พ้นทางจึงร่วมมือกับยายเฒ่าบ้าบี๋คนใช้เก่าแก่ใช้เล่ห์เพทุบายปลอมสาล์นจากท้าวพันทวงศ์พระบิดาของพระทิณวงศ์ว่าให้พระทิณวงศ์ออกไปคล้องช้างมงคลในป่า เพื่อที่นางจะจัดการนางทิพย์มณฑาในระหว่างที่พระทิณวงศ์ไม่อยู่ พระทินวงศ์ไม่ฉุกเฉลียวใจในกลอุบายจึงจำใจลานางทิพย์มณฑาไปคล้องช้างตามพระราชโองการ ขณะนั้นนางทิพย์มณฑามีครรภ์แก่ใกล้คลอด
ยายเฒ่าบ้าบี๋ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ เมื่อเห็นพระทิณวงศ์เสด็จออกจากเมืองไปแล้วก็ร่ายเวทมนต์สะกดคนรับใช้ ข้าราชบริพารและเหล่าทหารในเขตพระราชฐานให้หลับไหลไปจนหมด แล้วนางก็อุ้มนางทิพย์มณฑาไปให้นางกายวัน นางกายวันเห็นนางทิพย์มณฑาครรภ์แก่ก็ยิ่งเกิดความโมโหจึงเข้าทุบตีนางด้วยความโกรธแค้นที่ทำให้นางหมดโอกาสที่จะเป็นมเหสีของพระทิณวงศ์ นางกายวันออกแรงทุบตีจนนางทิพย์มณฑาหมดสติเหมือนตาย นางกายวันและยายเฒ่าบ้าบี๋จึงนำร่างของนางทิพย์มณฑาไปทิ้งแม่น้ำ
แต่นางทิพย์มณฑายังไม่ตาย นางว่ายน้ำอยู่ 7 วันจึงสามารถขึ้นฝั่งได้ในที่สุด นางกระจุ้นกระสนเอาชีวิตของตนเองและลูกในท้องให้รอดด้วยความทุกข์ลำบาก จวบจนนางคลอดพระโอรสที่มีกลิ่นกายหอมเหมือนนาง นางทิ้งพระโอรสไปดื่มน้ำที่ลำธาร ขากลับถูกช้างป่าขวางทางไว้ ระหว่างนั้นวิเรนทันผู้มีกายเป็นเหล็กเพชรมาเห็นพระโอรสน้อยก็เข้าใจว่ามีคนมาทิ้งไว้จึงนำไปชุบเลี้ยง
พระทิณวงศ์ออกตามหาพระชายาและพระโอรส ต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายประการ ระหว่างผจญภัยพระทิณวงศ์ได้ชายาอีก 2 คนคือนางสุวรรณรัศมี และนางวันทมาลัย เป็นเวลาหลายปีกว่าที่คนทั้งหมดจะกลับมาพบและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างผาสุกในบั้นปลาย
มีตัวละครบางตัวชื่อเปลี่ยนไปนะคะ และเพิ่มบทเข้ามาอีกหลายตัวเลยค่ะ เป็นใครกันบ้างก็ลองอ่านดูเอาเองนะจ๊ะ
credit : http://www.boysapolclub.com/Forums/index.php?topic=33.msg275#msg275
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)